เมื่อมีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้องสำหรับข้อนี้
นักกฎหมายมักเรียกกันทั่วไปว่า "ฟ้องซ้ำ" ซึ่งในคดีอาญาบัญญัติไว้ใน
ป.วิ.อ. มาตรา 39 (4)
คำว่า "ฟ้องซ้ำ" หมายถึง คดีเรื่องเดียวกันในมูลกรณีเดียวกัน หากศาลพิพากษาลงโทษหรือยกฟ้องก็ตาม จะนำมูลกรณีนั้นมาฟ้องจำเลยคนเดิมอีกไม่ได้
หลักเกณฑ์ "การฟ้องซ้ำ" ในคดีอาญามีดังนี้
1. จำเลยเป็นคน ๆ เดียวกัน
2. ประเด็นข้อกล่าวหาในมูลกรณีเดียวกัน
3. มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดแล้ว
ตามคำพิพากษาที่หมายเหตุนี้ จำเลยที่ 2 เป็นจำเลยคนเดียวกันในคดีก่อน (คดีอาญา ถือ "จำเลยคนเดียวกัน" เป็นเกณฑ์สำคัญ) ประเด็นข้อกล่าวหาก็เป็นข้อกล่าวหาในมูลกรณีเดียวกันและคดีก่อนศาลได้มีคำ พิพากษาเสร็จเด็ดขาดแล้ว ครบตามหลักเกณฑ์ข้างต้นแล้ว แต่ในคดีก่อนทั้งสองและคดีที่หมายเหตุนี้ โจทก์บรรยายฟ้องทั้งสามสำนวนว่า มีคนร้ายลักทรัพย์ต่างวันเวลาและต่างสถานที่กัน เป็นการกระทำที่แยกต่างหากจากกันและต่างวาระกัน ไม่ถือว่าเป็นฟ้องซ้ำ ถือว่าคำพิพากษาที่หมายเหตุนี้ศาลฎีกามีคำพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7028/2547 ที่วินิจฉัยว่า แม้จำเลยถูกจับทั้งสองคดีในวันเดียวกัน แต่วันถูกจับมิใช่วันกระทำความผิด เมื่อวันเวลากระทำความผิดในคดีก่อนและคดีนี้ทั้งในฐานลักทรัพย์และรับของโจร ต่างกัน ทั้งทรัพย์ที่ยึดได้ก็เป็นทรัพย์ของผู้เสียหายคนละต่างรายกัน แม้คดีก่อนศาลชั้นต้นจะมีคำพิพากษาถึงที่สุด แต่เมื่อการกระทำความผิดของจำเลยในคดีก่อนและคดีนี้เป็นการกระทำความผิดต่าง กรรมต่างวาระกัน ฟ้องโจทก์คดีนี้ย่อมไม่เป็นฟ้องซ้ำ..........
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5904/2551
ป.วิ.พ. มาตรา 144, 145, 148, 271
ในคดีก่อนโจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดการบังคับคดี โดยอ้างเหตุว่าโจทก์ได้โอนรถยนต์ตีใช้หนี้ให้แก่จำเลยเสร็จสิ้นแล้วก่อนวัน นัดสืบพยาน แต่จำเลยไม่ถอนฟ้องตามที่ตกลงไว้กับโจทก์ ซึ่งศาลชั้นต้นในคดีก่อนวินิจฉัยในสาระสำคัญว่า ข้ออ้างของโจทก์ดังกล่าวหากจะพึงมีก็เป็นเรื่องที่โจทก์ต้องยกขึ้นว่ากล่าว กับจำเลยเป็นอีกส่วนหนึ่ง ไม่เป็นเหตุที่จะยกขึ้นอ้างเพื่อให้งดการบังคับคดีได้ ดังนี้ คดีก่อนศาลชั้นต้นจึงยังมิได้วินิจฉัยชี้ขาดว่า โจทก์ได้โอนรถยนต์ตีใช้หนี้ให้แก่จำเลยเสร็จสิ้นแล้วจริงหรือไม่ การที่โจทก์มาฟ้องจำเลยคดีนี้จึงมิใช่เป็นเรื่องที่ศาลได้มีคำพิพากษาหรือคำ สั่งถึงที่สุดแล้วคู่ความเดียวกันมารื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้ วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ฟ้องโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำอันจะเป็นการต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148 ทั้งมิใช่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำตามมาตรา 144 ด้วยเช่นกัน
คำพิพากษาในคดีก่อนย่อมผูกพันโจทก์ให้ต้องชำระหนี้แก่จำเลยตามที่กำหนดไว้ ในคำพิพากษา หากโจทก์ได้โอนรถยนต์ตีใช้หนี้ให้แก่จำเลยเสร็จสิ้นแล้ว ก่อนที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาในคดีก่อนจริงโจทก์ก็ชอบที่จะฟ้องให้จำเลยรับ ผิดเพื่อความเสียหายใดๆ อันเกิดจากการผิดข้อตกลงชำระหนี้ แต่โจทก์จะฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีก่อนเป็นอันระงับ ให้งดการบังคับคดี และบังคับให้จำเลยแจ้งถอนการยึดทรัพย์หาได้ไม่ เพราะจำเลยมีสิทธิที่จะบังคับคดีเพื่อให้ได้รับชำระหนี้ตามคำพิพากษาในคดี ก่อนซึ่งผูกพันโจทก์
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นลูกหนี้จำเลยตามคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 785/2541 ของศาลชั้นต้น ซึ่งพิพากษาให้โจทก์ชำระหนี้เงินกู้พร้อมดอกเบี้ยแก่จำเลย ก่อนศาลพิพากษาโจทก์จดทะเบียนโอนรถยนต์หมายเลขทะเบียน ถ-4232 (ที่ถูก ก-4232) ศรีสะเกษ ตีใช้หนี้ให้แก่จำเลยเสร็จสิ้นไปแล้ว แต่จำเลยไม่เบิกความถึงการชำระหนี้ ศาลจึงพิพากษาให้โจทก์ชำระหนี้อีก ต่อมาจำเลยนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 933 ตำบลซำ อำเภอเมืองศรีสะเกษ จังหวัดศรีสะเกษ และบ้านเลขที่ 27 หมู่ที่ 7 ตำบลซำ อำเภอเมืองศรีสะเกษ จังหวัดศรีสะเกษ เพื่อนำออกขายทอดตลาด โจทก์จึงยื่นคำร้องขอให้ศาลงดการบังคับคดี แต่ศาลมีคำสั่งยกคำร้องของโจทก์ โดยให้เหตุผลว่าโจทก์ต้องยกขึ้นว่ากล่าวกับจำเลยเป็นอีกส่วนหนึ่ง การกระทำของจำเลยทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้พิพากษาว่าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 785/2541 ของศาลชั้นต้นระหว่างโจทก์กับจำเลยระงับไปแล้ว ให้งดการบังคับคดี และให้จำเลยแจ้งถอนการยึดทรัพย์ในคดีดังกล่าวด้วยค่าใช้จ่ายของจำเลย
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่ได้จดทะเบียนโอนรถยนต์ตามฟ้องเพื่อตีใช้หนี้ให้แก่จำเลย แต่เป็นการตีใช้หนี้ให้แก่เจ้าหนี้ในคดีอื่นซึ่งฟ้องโจทก์เป็นจำเลยต่อศาล ชั้นต้น จำเลยยังมิได้รับชำระหนี้ตามคำพิพากษา โจทก์นำคดีมาฟ้องโดยไม่สุจริต เพื่อประวิงการบังคับคดีขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า เดิมจำเลยยื่นฟ้องโจทก์กับพวก คืนนางม้วน และนางสมสมรเพื่อบังคับชำระหนี้ตามสัญญากู้เงินและสัญญาค้ำประกัน โจทก์กับพวกขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 785/2541 ให้โจทก์ชำระเงิน 61,250 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 60,000 บาท นับถัดจากวันที่ 17 เมษายน 2541 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลย หากโจทก์ไม่ชำระ ให้นางม้วนและนางสมสมรชำระแทน ต่อมาจำเลยนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 933 ตำบลซำ อำเภอเมืองศรีสะเกษ จังหวัดศรีสะเกษ ของนางม้วน และบ้านเลขที่ 27 หมู่ที่ 7 ตำบลซำ อำเภอเมืองศรีสะเกษ จังหวัดศรีสะเกษ ของนางสมสมร เพื่อขายทอดตลาดชำระหนี้ให้แก่จำเลยตามคำพิพากษา โจทก์ยื่นคำร้องขอให้งดการบังคับคดี แต่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง โจทก์จึงมายื่นฟ้องคดีนี้
ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 785/2541 ของศาลชั้นต้นหรือไม่ เห็นว่า ในคดีก่อนโจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดการบังคับคดี โดยอ้างเหตุในคำร้องและนำสืบในชั้นไต่สวนคำร้องว่าโจทก์ได้โอนรถยนต์ตีใช้ หนี้ให้แก่จำเลยเสร็จสิ้นแล้วก่อนวันนัดสืบพยาน โดยจำเลยให้นายสุรศักดิ์ พี่ชายจำเลย เป็นผู้มารับรถยนต์ไป แต่จำเลยไม่ถอนฟ้องตามที่ตกลงไว้กับโจทก์ ซึ่งศาลชั้นต้นในคดีก่อนวินิจฉัยในสาระสำคัญว่า ข้ออ้างของโจทก์ดังกล่าวหากจะพึงมีก็เป็นเรื่องที่โจทก์ต้องยกขึ้นว่ากล่าว กับจำเลยเป็นอีกส่วนหนึ่ง ไม่เป็นเหตุที่จะยกขึ้นอ้างเพื่อให้งดการบังคับคดีได้ ดังนี้ คดีก่อนศาลชั้นต้นจึงยังมิได้วินิจฉัยชี้ขาดว่า โจทก์ได้โอนรถยนต์ตีใช้หนี้ให้แก่จำเลยเสร็จสิ้นแล้ว ก่อนที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาในคดีก่อนจริง โจทก์ก็ชอบที่จะฟ้องให้จำเลยรับผิดเพื่อความเสียหายใดๆ อันเกิดจากการผิดข้อตกลงชำระหนี้ แต่โจทก์จะฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีก่อนเป็นอันระงับ ให้งดการบังคับคดี และบังคับให้จำเลยแจ้งถอนการยึดทรัพย์หาได้ไม่ เพราะจำเลยมีสิทธิที่จะบังคับคดีเพื่อให้ได้รับชำระหนี้ตามคำพิพากษาในคดี ก่อนซึ่งผูกพันโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้ศาลพิพากษาบังคับตามคำขอท้ายฟ้องดังกล่าวปัญหา นี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้คู่ความมิได้ยกขึ้นฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาต้องกันมาให้ยกฟ้องโจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ...........
หมายเหตุ
กรณีที่จะเป็นเรื่องฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 ต้องมีคำฟ้อง 2 คดี และคดีก่อนศาลต้องมีคำวินิจฉัยในประเด็นแห่งคดีตามมาตรา 131 (2) ซึ่งคดีถึงที่สุดแล้ว ในเรื่องนี้ปรากฏว่า คดีก่อนโจทก์ยื่นคำร้องในชั้นบังคับคดีขอให้งดการบังคับคดีอันเป็นเรื่องคำ ขอที่ศาลจะต้องมีคำสั่งอนุญาตหรือยกเสียตามมาตรา 131 (1) มิใช่ในเรื่องประเด็นแห่งคดีตามมาตรา 131 (2) การที่ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องจึงมิใช่เป็นการวินิจฉัยในประเด็นแห่งคดีตาม มาตรา 131 (2) การที่โจทก์ฟ้องเป็นคดีใหม่ จึงไม่น่าจะมีลักษณะที่ปรับด้วยเรื่องฟ้องซ้ำตามมาตรา 148 แต่อย่างใด คงปรับด้วยเรื่องดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำตามมาตรา 144 เท่านั้น..........

คำว่า "ฟ้องซ้ำ" หมายถึง คดีเรื่องเดียวกันในมูลกรณีเดียวกัน หากศาลพิพากษาลงโทษหรือยกฟ้องก็ตาม จะนำมูลกรณีนั้นมาฟ้องจำเลยคนเดิมอีกไม่ได้
หลักเกณฑ์ "การฟ้องซ้ำ" ในคดีอาญามีดังนี้
1. จำเลยเป็นคน ๆ เดียวกัน
2. ประเด็นข้อกล่าวหาในมูลกรณีเดียวกัน
3. มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดแล้ว
ตามคำพิพากษาที่หมายเหตุนี้ จำเลยที่ 2 เป็นจำเลยคนเดียวกันในคดีก่อน (คดีอาญา ถือ "จำเลยคนเดียวกัน" เป็นเกณฑ์สำคัญ) ประเด็นข้อกล่าวหาก็เป็นข้อกล่าวหาในมูลกรณีเดียวกันและคดีก่อนศาลได้มีคำ พิพากษาเสร็จเด็ดขาดแล้ว ครบตามหลักเกณฑ์ข้างต้นแล้ว แต่ในคดีก่อนทั้งสองและคดีที่หมายเหตุนี้ โจทก์บรรยายฟ้องทั้งสามสำนวนว่า มีคนร้ายลักทรัพย์ต่างวันเวลาและต่างสถานที่กัน เป็นการกระทำที่แยกต่างหากจากกันและต่างวาระกัน ไม่ถือว่าเป็นฟ้องซ้ำ ถือว่าคำพิพากษาที่หมายเหตุนี้ศาลฎีกามีคำพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7028/2547 ที่วินิจฉัยว่า แม้จำเลยถูกจับทั้งสองคดีในวันเดียวกัน แต่วันถูกจับมิใช่วันกระทำความผิด เมื่อวันเวลากระทำความผิดในคดีก่อนและคดีนี้ทั้งในฐานลักทรัพย์และรับของโจร ต่างกัน ทั้งทรัพย์ที่ยึดได้ก็เป็นทรัพย์ของผู้เสียหายคนละต่างรายกัน แม้คดีก่อนศาลชั้นต้นจะมีคำพิพากษาถึงที่สุด แต่เมื่อการกระทำความผิดของจำเลยในคดีก่อนและคดีนี้เป็นการกระทำความผิดต่าง กรรมต่างวาระกัน ฟ้องโจทก์คดีนี้ย่อมไม่เป็นฟ้องซ้ำ..........
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5904/2551
ป.วิ.พ. มาตรา 144, 145, 148, 271
ในคดีก่อนโจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดการบังคับคดี โดยอ้างเหตุว่าโจทก์ได้โอนรถยนต์ตีใช้หนี้ให้แก่จำเลยเสร็จสิ้นแล้วก่อนวัน นัดสืบพยาน แต่จำเลยไม่ถอนฟ้องตามที่ตกลงไว้กับโจทก์ ซึ่งศาลชั้นต้นในคดีก่อนวินิจฉัยในสาระสำคัญว่า ข้ออ้างของโจทก์ดังกล่าวหากจะพึงมีก็เป็นเรื่องที่โจทก์ต้องยกขึ้นว่ากล่าว กับจำเลยเป็นอีกส่วนหนึ่ง ไม่เป็นเหตุที่จะยกขึ้นอ้างเพื่อให้งดการบังคับคดีได้ ดังนี้ คดีก่อนศาลชั้นต้นจึงยังมิได้วินิจฉัยชี้ขาดว่า โจทก์ได้โอนรถยนต์ตีใช้หนี้ให้แก่จำเลยเสร็จสิ้นแล้วจริงหรือไม่ การที่โจทก์มาฟ้องจำเลยคดีนี้จึงมิใช่เป็นเรื่องที่ศาลได้มีคำพิพากษาหรือคำ สั่งถึงที่สุดแล้วคู่ความเดียวกันมารื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้ วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ฟ้องโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำอันจะเป็นการต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148 ทั้งมิใช่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำตามมาตรา 144 ด้วยเช่นกัน
คำพิพากษาในคดีก่อนย่อมผูกพันโจทก์ให้ต้องชำระหนี้แก่จำเลยตามที่กำหนดไว้ ในคำพิพากษา หากโจทก์ได้โอนรถยนต์ตีใช้หนี้ให้แก่จำเลยเสร็จสิ้นแล้ว ก่อนที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาในคดีก่อนจริงโจทก์ก็ชอบที่จะฟ้องให้จำเลยรับ ผิดเพื่อความเสียหายใดๆ อันเกิดจากการผิดข้อตกลงชำระหนี้ แต่โจทก์จะฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีก่อนเป็นอันระงับ ให้งดการบังคับคดี และบังคับให้จำเลยแจ้งถอนการยึดทรัพย์หาได้ไม่ เพราะจำเลยมีสิทธิที่จะบังคับคดีเพื่อให้ได้รับชำระหนี้ตามคำพิพากษาในคดี ก่อนซึ่งผูกพันโจทก์
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นลูกหนี้จำเลยตามคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 785/2541 ของศาลชั้นต้น ซึ่งพิพากษาให้โจทก์ชำระหนี้เงินกู้พร้อมดอกเบี้ยแก่จำเลย ก่อนศาลพิพากษาโจทก์จดทะเบียนโอนรถยนต์หมายเลขทะเบียน ถ-4232 (ที่ถูก ก-4232) ศรีสะเกษ ตีใช้หนี้ให้แก่จำเลยเสร็จสิ้นไปแล้ว แต่จำเลยไม่เบิกความถึงการชำระหนี้ ศาลจึงพิพากษาให้โจทก์ชำระหนี้อีก ต่อมาจำเลยนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 933 ตำบลซำ อำเภอเมืองศรีสะเกษ จังหวัดศรีสะเกษ และบ้านเลขที่ 27 หมู่ที่ 7 ตำบลซำ อำเภอเมืองศรีสะเกษ จังหวัดศรีสะเกษ เพื่อนำออกขายทอดตลาด โจทก์จึงยื่นคำร้องขอให้ศาลงดการบังคับคดี แต่ศาลมีคำสั่งยกคำร้องของโจทก์ โดยให้เหตุผลว่าโจทก์ต้องยกขึ้นว่ากล่าวกับจำเลยเป็นอีกส่วนหนึ่ง การกระทำของจำเลยทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้พิพากษาว่าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 785/2541 ของศาลชั้นต้นระหว่างโจทก์กับจำเลยระงับไปแล้ว ให้งดการบังคับคดี และให้จำเลยแจ้งถอนการยึดทรัพย์ในคดีดังกล่าวด้วยค่าใช้จ่ายของจำเลย
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่ได้จดทะเบียนโอนรถยนต์ตามฟ้องเพื่อตีใช้หนี้ให้แก่จำเลย แต่เป็นการตีใช้หนี้ให้แก่เจ้าหนี้ในคดีอื่นซึ่งฟ้องโจทก์เป็นจำเลยต่อศาล ชั้นต้น จำเลยยังมิได้รับชำระหนี้ตามคำพิพากษา โจทก์นำคดีมาฟ้องโดยไม่สุจริต เพื่อประวิงการบังคับคดีขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า เดิมจำเลยยื่นฟ้องโจทก์กับพวก คืนนางม้วน และนางสมสมรเพื่อบังคับชำระหนี้ตามสัญญากู้เงินและสัญญาค้ำประกัน โจทก์กับพวกขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 785/2541 ให้โจทก์ชำระเงิน 61,250 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 60,000 บาท นับถัดจากวันที่ 17 เมษายน 2541 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลย หากโจทก์ไม่ชำระ ให้นางม้วนและนางสมสมรชำระแทน ต่อมาจำเลยนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 933 ตำบลซำ อำเภอเมืองศรีสะเกษ จังหวัดศรีสะเกษ ของนางม้วน และบ้านเลขที่ 27 หมู่ที่ 7 ตำบลซำ อำเภอเมืองศรีสะเกษ จังหวัดศรีสะเกษ ของนางสมสมร เพื่อขายทอดตลาดชำระหนี้ให้แก่จำเลยตามคำพิพากษา โจทก์ยื่นคำร้องขอให้งดการบังคับคดี แต่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง โจทก์จึงมายื่นฟ้องคดีนี้
ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 785/2541 ของศาลชั้นต้นหรือไม่ เห็นว่า ในคดีก่อนโจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดการบังคับคดี โดยอ้างเหตุในคำร้องและนำสืบในชั้นไต่สวนคำร้องว่าโจทก์ได้โอนรถยนต์ตีใช้ หนี้ให้แก่จำเลยเสร็จสิ้นแล้วก่อนวันนัดสืบพยาน โดยจำเลยให้นายสุรศักดิ์ พี่ชายจำเลย เป็นผู้มารับรถยนต์ไป แต่จำเลยไม่ถอนฟ้องตามที่ตกลงไว้กับโจทก์ ซึ่งศาลชั้นต้นในคดีก่อนวินิจฉัยในสาระสำคัญว่า ข้ออ้างของโจทก์ดังกล่าวหากจะพึงมีก็เป็นเรื่องที่โจทก์ต้องยกขึ้นว่ากล่าว กับจำเลยเป็นอีกส่วนหนึ่ง ไม่เป็นเหตุที่จะยกขึ้นอ้างเพื่อให้งดการบังคับคดีได้ ดังนี้ คดีก่อนศาลชั้นต้นจึงยังมิได้วินิจฉัยชี้ขาดว่า โจทก์ได้โอนรถยนต์ตีใช้หนี้ให้แก่จำเลยเสร็จสิ้นแล้ว ก่อนที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาในคดีก่อนจริง โจทก์ก็ชอบที่จะฟ้องให้จำเลยรับผิดเพื่อความเสียหายใดๆ อันเกิดจากการผิดข้อตกลงชำระหนี้ แต่โจทก์จะฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีก่อนเป็นอันระงับ ให้งดการบังคับคดี และบังคับให้จำเลยแจ้งถอนการยึดทรัพย์หาได้ไม่ เพราะจำเลยมีสิทธิที่จะบังคับคดีเพื่อให้ได้รับชำระหนี้ตามคำพิพากษาในคดี ก่อนซึ่งผูกพันโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้ศาลพิพากษาบังคับตามคำขอท้ายฟ้องดังกล่าวปัญหา นี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้คู่ความมิได้ยกขึ้นฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาต้องกันมาให้ยกฟ้องโจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ...........
หมายเหตุ
กรณีที่จะเป็นเรื่องฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 ต้องมีคำฟ้อง 2 คดี และคดีก่อนศาลต้องมีคำวินิจฉัยในประเด็นแห่งคดีตามมาตรา 131 (2) ซึ่งคดีถึงที่สุดแล้ว ในเรื่องนี้ปรากฏว่า คดีก่อนโจทก์ยื่นคำร้องในชั้นบังคับคดีขอให้งดการบังคับคดีอันเป็นเรื่องคำ ขอที่ศาลจะต้องมีคำสั่งอนุญาตหรือยกเสียตามมาตรา 131 (1) มิใช่ในเรื่องประเด็นแห่งคดีตามมาตรา 131 (2) การที่ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องจึงมิใช่เป็นการวินิจฉัยในประเด็นแห่งคดีตาม มาตรา 131 (2) การที่โจทก์ฟ้องเป็นคดีใหม่ จึงไม่น่าจะมีลักษณะที่ปรับด้วยเรื่องฟ้องซ้ำตามมาตรา 148 แต่อย่างใด คงปรับด้วยเรื่องดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำตามมาตรา 144 เท่านั้น..........
เยี่ยมมากครับคุณหมอ อ่านจนตาลายแล้ว เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง แต่ก็โอเค ผมเริ่มเรียน4ธันวา เดี๋ยวจะหาข้อมูลมาช่วยอีกแรงนะครับ เป็นกำลังใจสู้ต่อไปนะครับ