ฟ้อง คืออะไร

Monday, June 17, 2013

      เมื่อมีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้องสำหรับข้อนี้ นักกฎหมายมักเรียกกันทั่วไปว่า "ฟ้องซ้ำ" ซึ่งในคดีอาญาบัญญัติไว้ใน ป.วิ.อ. มาตรา 39 (4)
        https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEivAZ7GzT5UeqhyphenhyphenzXkBF1xe0dL5oZfqUgGyaNk0RKcUaQxRVYH7A5-bK9vl4ucxnQqpI94gHLXmYrXWLWJgD4aCQXk8EPsdbnbx1UigX_jS2mf2tNXDFx9OIKwoZmkFManeqonmDTLa6-hj/s1600/%E0%B8%84%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%99+%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%A5.jpg    
     คำว่า "ฟ้องซ้ำ" หมายถึง คดีเรื่องเดียวกันในมูลกรณีเดียวกัน หากศาลพิพากษาลงโทษหรือยกฟ้องก็ตาม จะนำมูลกรณีนั้นมาฟ้องจำเลยคนเดิมอีกไม่ได้
            
     หลักเกณฑ์ "การฟ้องซ้ำ" ในคดีอาญามีดังนี้
         
     1. จำเลยเป็นคน ๆ เดียวกัน
            
     2. ประเด็นข้อกล่าวหาในมูลกรณีเดียวกัน
            
     3. มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดแล้ว
            
     ตามคำพิพากษาที่หมายเหตุนี้ จำเลยที่ 2 เป็นจำเลยคนเดียวกันในคดีก่อน (คดีอาญา ถือ "จำเลยคนเดียวกัน" เป็นเกณฑ์สำคัญ) ประเด็นข้อกล่าวหาก็เป็นข้อกล่าวหาในมูลกรณีเดียวกันและคดีก่อนศาลได้มีคำ พิพากษาเสร็จเด็ดขาดแล้ว ครบตามหลักเกณฑ์ข้างต้นแล้ว แต่ในคดีก่อนทั้งสองและคดีที่หมายเหตุนี้ โจทก์บรรยายฟ้องทั้งสามสำนวนว่า มีคนร้ายลักทรัพย์ต่างวันเวลาและต่างสถานที่กัน เป็นการกระทำที่แยกต่างหากจากกันและต่างวาระกัน ไม่ถือว่าเป็นฟ้องซ้ำ ถือว่าคำพิพากษาที่หมายเหตุนี้ศาลฎีกามีคำพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7028/2547 ที่วินิจฉัยว่า แม้จำเลยถูกจับทั้งสองคดีในวันเดียวกัน แต่วันถูกจับมิใช่วันกระทำความผิด เมื่อวันเวลากระทำความผิดในคดีก่อนและคดีนี้ทั้งในฐานลักทรัพย์และรับของโจร ต่างกัน ทั้งทรัพย์ที่ยึดได้ก็เป็นทรัพย์ของผู้เสียหายคนละต่างรายกัน แม้คดีก่อนศาลชั้นต้นจะมีคำพิพากษาถึงที่สุด แต่เมื่อการกระทำความผิดของจำเลยในคดีก่อนและคดีนี้เป็นการกระทำความผิดต่าง กรรมต่างวาระกัน ฟ้องโจทก์คดีนี้ย่อมไม่เป็นฟ้องซ้ำ..........


คำพิพากษาศาลฎีกาที่  5904/2551

ป.วิ.พ. มาตรา 144, 145, 148, 271
         
     ในคดีก่อนโจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดการบังคับคดี โดยอ้างเหตุว่าโจทก์ได้โอนรถยนต์ตีใช้หนี้ให้แก่จำเลยเสร็จสิ้นแล้วก่อนวัน นัดสืบพยาน แต่จำเลยไม่ถอนฟ้องตามที่ตกลงไว้กับโจทก์ ซึ่งศาลชั้นต้นในคดีก่อนวินิจฉัยในสาระสำคัญว่า ข้ออ้างของโจทก์ดังกล่าวหากจะพึงมีก็เป็นเรื่องที่โจทก์ต้องยกขึ้นว่ากล่าว กับจำเลยเป็นอีกส่วนหนึ่ง ไม่เป็นเหตุที่จะยกขึ้นอ้างเพื่อให้งดการบังคับคดีได้ ดังนี้ คดีก่อนศาลชั้นต้นจึงยังมิได้วินิจฉัยชี้ขาดว่า โจทก์ได้โอนรถยนต์ตีใช้หนี้ให้แก่จำเลยเสร็จสิ้นแล้วจริงหรือไม่ การที่โจทก์มาฟ้องจำเลยคดีนี้จึงมิใช่เป็นเรื่องที่ศาลได้มีคำพิพากษาหรือคำ สั่งถึงที่สุดแล้วคู่ความเดียวกันมารื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้ วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ฟ้องโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำอันจะเป็นการต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148 ทั้งมิใช่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำตามมาตรา 144 ด้วยเช่นกัน
         
     คำพิพากษาในคดีก่อนย่อมผูกพันโจทก์ให้ต้องชำระหนี้แก่จำเลยตามที่กำหนดไว้ ในคำพิพากษา หากโจทก์ได้โอนรถยนต์ตีใช้หนี้ให้แก่จำเลยเสร็จสิ้นแล้ว ก่อนที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาในคดีก่อนจริงโจทก์ก็ชอบที่จะฟ้องให้จำเลยรับ ผิดเพื่อความเสียหายใดๆ อันเกิดจากการผิดข้อตกลงชำระหนี้ แต่โจทก์จะฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีก่อนเป็นอันระงับ ให้งดการบังคับคดี และบังคับให้จำเลยแจ้งถอนการยึดทรัพย์หาได้ไม่ เพราะจำเลยมีสิทธิที่จะบังคับคดีเพื่อให้ได้รับชำระหนี้ตามคำพิพากษาในคดี ก่อนซึ่งผูกพันโจทก์
       
     โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นลูกหนี้จำเลยตามคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 785/2541 ของศาลชั้นต้น ซึ่งพิพากษาให้โจทก์ชำระหนี้เงินกู้พร้อมดอกเบี้ยแก่จำเลย ก่อนศาลพิพากษาโจทก์จดทะเบียนโอนรถยนต์หมายเลขทะเบียน ถ-4232 (ที่ถูก ก-4232) ศรีสะเกษ ตีใช้หนี้ให้แก่จำเลยเสร็จสิ้นไปแล้ว แต่จำเลยไม่เบิกความถึงการชำระหนี้ ศาลจึงพิพากษาให้โจทก์ชำระหนี้อีก ต่อมาจำเลยนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 933 ตำบลซำ อำเภอเมืองศรีสะเกษ จังหวัดศรีสะเกษ และบ้านเลขที่ 27 หมู่ที่ 7 ตำบลซำ อำเภอเมืองศรีสะเกษ จังหวัดศรีสะเกษ เพื่อนำออกขายทอดตลาด โจทก์จึงยื่นคำร้องขอให้ศาลงดการบังคับคดี แต่ศาลมีคำสั่งยกคำร้องของโจทก์ โดยให้เหตุผลว่าโจทก์ต้องยกขึ้นว่ากล่าวกับจำเลยเป็นอีกส่วนหนึ่ง การกระทำของจำเลยทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้พิพากษาว่าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 785/2541 ของศาลชั้นต้นระหว่างโจทก์กับจำเลยระงับไปแล้ว ให้งดการบังคับคดี และให้จำเลยแจ้งถอนการยึดทรัพย์ในคดีดังกล่าวด้วยค่าใช้จ่ายของจำเลย
         
     จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่ได้จดทะเบียนโอนรถยนต์ตามฟ้องเพื่อตีใช้หนี้ให้แก่จำเลย แต่เป็นการตีใช้หนี้ให้แก่เจ้าหนี้ในคดีอื่นซึ่งฟ้องโจทก์เป็นจำเลยต่อศาล ชั้นต้น จำเลยยังมิได้รับชำระหนี้ตามคำพิพากษา โจทก์นำคดีมาฟ้องโดยไม่สุจริต เพื่อประวิงการบังคับคดีขอให้ยกฟ้อง
         
     ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
         
     โจทก์อุทธรณ์
         
     ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
         
     โจทก์ฎีกา
         
     ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า เดิมจำเลยยื่นฟ้องโจทก์กับพวก คืนนางม้วน และนางสมสมรเพื่อบังคับชำระหนี้ตามสัญญากู้เงินและสัญญาค้ำประกัน โจทก์กับพวกขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 785/2541 ให้โจทก์ชำระเงิน 61,250 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 60,000 บาท นับถัดจากวันที่ 17 เมษายน 2541 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลย หากโจทก์ไม่ชำระ ให้นางม้วนและนางสมสมรชำระแทน ต่อมาจำเลยนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 933 ตำบลซำ อำเภอเมืองศรีสะเกษ จังหวัดศรีสะเกษ ของนางม้วน และบ้านเลขที่ 27 หมู่ที่ 7 ตำบลซำ อำเภอเมืองศรีสะเกษ จังหวัดศรีสะเกษ ของนางสมสมร เพื่อขายทอดตลาดชำระหนี้ให้แก่จำเลยตามคำพิพากษา โจทก์ยื่นคำร้องขอให้งดการบังคับคดี แต่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง โจทก์จึงมายื่นฟ้องคดีนี้
         
     ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 785/2541 ของศาลชั้นต้นหรือไม่ เห็นว่า ในคดีก่อนโจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดการบังคับคดี โดยอ้างเหตุในคำร้องและนำสืบในชั้นไต่สวนคำร้องว่าโจทก์ได้โอนรถยนต์ตีใช้ หนี้ให้แก่จำเลยเสร็จสิ้นแล้วก่อนวันนัดสืบพยาน โดยจำเลยให้นายสุรศักดิ์ พี่ชายจำเลย เป็นผู้มารับรถยนต์ไป แต่จำเลยไม่ถอนฟ้องตามที่ตกลงไว้กับโจทก์ ซึ่งศาลชั้นต้นในคดีก่อนวินิจฉัยในสาระสำคัญว่า ข้ออ้างของโจทก์ดังกล่าวหากจะพึงมีก็เป็นเรื่องที่โจทก์ต้องยกขึ้นว่ากล่าว กับจำเลยเป็นอีกส่วนหนึ่ง ไม่เป็นเหตุที่จะยกขึ้นอ้างเพื่อให้งดการบังคับคดีได้ ดังนี้ คดีก่อนศาลชั้นต้นจึงยังมิได้วินิจฉัยชี้ขาดว่า โจทก์ได้โอนรถยนต์ตีใช้หนี้ให้แก่จำเลยเสร็จสิ้นแล้ว ก่อนที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาในคดีก่อนจริง โจทก์ก็ชอบที่จะฟ้องให้จำเลยรับผิดเพื่อความเสียหายใดๆ อันเกิดจากการผิดข้อตกลงชำระหนี้ แต่โจทก์จะฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีก่อนเป็นอันระงับ ให้งดการบังคับคดี และบังคับให้จำเลยแจ้งถอนการยึดทรัพย์หาได้ไม่ เพราะจำเลยมีสิทธิที่จะบังคับคดีเพื่อให้ได้รับชำระหนี้ตามคำพิพากษาในคดี ก่อนซึ่งผูกพันโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้ศาลพิพากษาบังคับตามคำขอท้ายฟ้องดังกล่าวปัญหา นี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้คู่ความมิได้ยกขึ้นฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาต้องกันมาให้ยกฟ้องโจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล”
         
     พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ...........

หมายเหตุ
         
     กรณีที่จะเป็นเรื่องฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 ต้องมีคำฟ้อง 2 คดี และคดีก่อนศาลต้องมีคำวินิจฉัยในประเด็นแห่งคดีตามมาตรา 131 (2) ซึ่งคดีถึงที่สุดแล้ว ในเรื่องนี้ปรากฏว่า คดีก่อนโจทก์ยื่นคำร้องในชั้นบังคับคดีขอให้งดการบังคับคดีอันเป็นเรื่องคำ ขอที่ศาลจะต้องมีคำสั่งอนุญาตหรือยกเสียตามมาตรา 131 (1) มิใช่ในเรื่องประเด็นแห่งคดีตามมาตรา 131 (2) การที่ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องจึงมิใช่เป็นการวินิจฉัยในประเด็นแห่งคดีตาม มาตรา 131 (2) การที่โจทก์ฟ้องเป็นคดีใหม่ จึงไม่น่าจะมีลักษณะที่ปรับด้วยเรื่องฟ้องซ้ำตามมาตรา 148 แต่อย่างใด คงปรับด้วยเรื่องดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำตามมาตรา 144 เท่านั้น..........
         

เยี่ยมมากครับคุณหมอ อ่านจนตาลายแล้ว เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง แต่ก็โอเค ผมเริ่มเรียน4ธันวา เดี๋ยวจะหาข้อมูลมาช่วยอีกแรงนะครับ เป็นกำลังใจสู้ต่อไปนะครับ
 ฟ้องซ้ำ ม.148 วิแพ่ง
https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiDjLnPM2Dy9RVwykSHcettw0w8l4-uGR0URqlbdDD54rUf4emhpOviv-6LfUxLuxfnW63fmJe8OoAq70SRBpnCgZnijuf4YcX0IJatyCClQf4xJSnLc7CeBABhy6wEh78JGf7znVUIkspN/s400/004.jpg
ฟ้องซ้ำ
มาตรา 148     คดีที่ได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุดแล้วห้ามมิให้คู่ความเดียวกันรื้อร้องฟ้องกันอีก ในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันเว้นแต่ในกรณีต่อไปนี้
(1) เมื่อเป็นกระบวนพิจารณาชั้นบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาล
(2) เมื่อคำพิพากษา  หรือคำสั่งได้กำหนดวิธีการชั่วคราวให้อยู่ภายในบังคับที่จะแก้ไขเปลี่ยนแปลงหรือยกเลิกเสียได้ตามพฤติการณ์
(3) เมื่อคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นให้ยกคำฟ้องเสียโดยไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะนำคำฟ้องมายื่นใหม่  ในศาลเดียวกันหรือในศาลอื่น  ภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยอายุความ
หลักเกณฑ์สำคัญ                                    
มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว
คู่ความทั้งสองฝ่ายเป็นรายเดียวกัน
ประเด็นที่วินิจฉัยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน
อธิบาย                                                              
1. มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว  การที่จะถือว่ามีคำพิพากษาหรือคำสั่งในคดีเดิมถึงที่สุดเมื่อใดนั้นต้องพิจารณาหลักเกณฑ์ตาม   147     ถ้าคดีเดิมยังไม่ถึงที่สุดยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาไม่ว่าชั้นใดถึงจะเอามาฟ้องใหม่ก็ไม่เป็นฟ้องซ้ำ     แต่อาจเป็นฟ้องซ้อนหรือดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำได้
ฎีกาที่  2281/15 (ปชญ.)         คดีเดิมจำเลยฟ้องขับไล่โจทก์ให้รื้อเรือนออกไปจากที่พิพาท  โจทก์ต่อสู้ว่าซื้อที่พิพาทมาจากตัวแทนจำเลย        ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าการตั้งตัวแทนไม่มีหนังสือมอบอำนาจมาแสดง รับฟังไม่ได้ว่าโจทก์ซื้อที่พิพาทมาจากจำเลย      โจทก์อุทธรณ์  ระหว่างอุทธรณ์โจทก์กลับมาฟ้องเป็นคดีนี้อ้างว่าซื้อที่พิพาทมาจากตัวแทนจำเลย     ขอให้บังคับให้จำเลยโอนที่ดินให้โจทก์ จำเลยต่อสู้ว่าเป็นฟ้องซ้ำคู่ความท้ากันให้ศาลวินิจฉัยเพียงประเด็นเดียวว่าฟ้องซ้ำหรือไม่ ตาม  ป.วิแพ่ง  ม. 148  เมื่อปรากฎว่าขณะที่โจทก์จำเลยท้ากันศาลอุทธรณ์ยังมิได้พิพากษาคดีเดิม คดีดังกล่าวยังไม่ถึงที่สุด  ฟ้องคดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ ส่วนจะเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำหรือไม่ ไม่ใช่ประเด็นที่คู่ความท้ากัน ศาลไม่หยิบยกวินิจฉัย
ฎีกาที่ 5622/2540   ตาม ป.พ.พ.มาตรา 1375 วรรคสอง มีความหมายว่า คดีจะขาดสิทธิฟ้องเรียกคืนที่ดินพิพาทต่อเมื่อมีการแย่งการครอบครองเสียก่อน     การที่จำเลยขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์สำหรับที่ดินพิพาท แต่ไม่เคยเข้าไปครอบครองที่ดินพิพาทแม้โจทก์จะทราบว่าจำเลยไปขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์เกินหนึ่งปี   คดีก็ไม่ขาดสิทธิฟ้องเรียกคืนที่ดินพิพาท
คดีก่อนศาลยังมิได้วินิจฉัยประเด็นสำคัญในคดีที่ว่าโจทก์หรือจำเลยมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท      คดีนี้โจทก์ฟ้องเพื่อให้ศาลมีคำพิพากษาแสดงว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทโดยชอบ ไม่เป็นฟ้องซ้ำ




2.  เป็นคู่ความรายเดียวกัน  ไม่ว่าจะกลับฐานะกันเป็นโจทก์ จำเลย ก็ตาม และหมายความรวมถึงผู้สืบสิทธิของคู่ความเดิมในคดีก่อนด้วย
ฎีกาที่  694/2540     จำเลยเป็นฝ่ายชนะในคดีที่จำเลยเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง บ. กับพวกให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและออกไปจากที่ดินพิพาท      ต่อมาจำเลยนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยังที่ดินพิพาท   และแจ้งให้โจทก์ในฐานะบริวารของ บ. กับพวกรื้อถอนพืชผลอาสินต่าง ๆ  ออกไปจากที่ดิน โจทก์อ้างว่าที่ดินเป็นของโจทก์และฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินเป็นของโจทก์ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้อง ดังนี้     รูปคดีต้องตามบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ.มาตรา 296 จัตวา (3)   แต่ตามบทบัญญัติดังกล่าวนี้ หากไม่ยื่นคำร้องแสดงอำนาจพิเศษต่อศาลภายในเวลาแปดวันนับแต่วันปิดประกาศ   ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นบริวารของลูกหนี้
ตามคำพิพากษาเท่านั้น หาได้มีผลเด็ดขาดเป็นการตัดสิทธิห้ามฟ้องร้องภายหลังไม่ และเมื่อโจทก์มิได้ร้องเข้ามาในคดี โจทก์ย่อมมิได้อยู่ในฐานะคู่ความในคดีดังกล่าว จึงไม่ผูกพันในผลแห่งคดีต้องห้ามมิให้ฟ้องร้องไม่ว่าจะด้วยบทบัญญัติแห่งกฎหมายในเรื่องฟ้องซ้ำ   หรือฟ้องซ้อน  ตามฎีกานี้คดีเดิมคู่ความคือ  จำเลยกับ บ. มิใช่โจทก์  โจทก์จึงมิใช่คู่ความเดิม  โจทก์ถูกบังคับคดีโดยจำเลยอ้างว่าโจทก์เป็นบริวารของ บ. การที่โจทก์มิได้ยื่นคำร้องคัดค้านใดๆ ก็หามีผลตัดสิทธิหรือปิดปากว่าโจทก์เป็นบริวารของ บ. ไม่)
ข้อสังเกต    คำว่าผู้สืบสิทธิ   เป็นผู้สืบสิทธิทั้งโดยนิติกรรมและโดยนิติเหตุ   และในบางคดีบางส่วนเป็นคู่ความในคดีเดิม บางส่วนไม่ได้เป็น ดังนั้นจึงเป็นการฟ้องซ้ำเฉพาะคู่ความส่วนที่เป็นเท่านั้นส่วนที่ไม่เป็นไม่ซ้ำ
ฎีกาที่  3873/2531       คดีก่อนโจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่  1 ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความ  กับ ส. และพวกยกกรรมสิทธิ์ที่ดินมีโฉนดเนื้อที่ 79 ตารางวา  ให้แก่โจทก์   ศาลพิพากษาถึงแก่ที่สุดว่าที่ดินตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ตั้งแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์ ได้แสดงเจตนารับประโยชน์ตามสัญญาและครอบครองตลอดมาเกินกว่า  10  ปี แล้วโจทก์จึงได้กรรมสิทธิ์ตามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382    ต่อมาโจทก์มาฟ้องจำเลยในคดีนี้อีกโดยอาศัยเหตุว่า  โจทก์มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงเดียวกันกับคดีเดิมซึ่งเนื้อที่ดินทั้งหมด 114.4 ตารางวา โจทก์ฟ้องเรียกในคดีเดิม 79 ตารางวา ยังขาดอีก 35.4 ตารางวา  จำเลยที่ 1   โอนที่ดินส่วนของโจทก์ดังกล่าว  ( 35.4 ตารางวา)    ให้จำเลยที่ 2  ถึงที่ 7 ขอให้บังคับให้จำเลยทั้งเจ็ดดำเนินการรังวัดแบ่งแยกที่ดินให้แก่โจทก์ดังนี้  ประเด็นสำคัญในคดีก่อนกับคดีนี้ที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์หรือไม่มีจำนวนเท่าใด    คดีก่อนศาลได้วินิจฉัยโดยอาศัยประนีประนอมยอมความและการครอบครองปรปักษ์จนโจทก์ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดิน  คดีถึงที่สุดแล้วโจทก์จะกลับมารื้อร้องฟ้องจำเลยที่  1 ถึงที่ 7   ในคดีนี้ในประเด็นที่ศาลได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันอีกไม่ได้แม้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 7   จะมิได้เป็นคู่ความเดียวกับคดีนี้แต่ก็เป็นผู้สืบสิทธิจากจำเลยที่ 1    จึงเป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อนต้องห้ามตาม 148




-                   นิติบุคคลเป็นบุคคลแยกต่างหากจากบุคคลธรรมดาไม่ถือว่าเป็นคู่ความเดียวกัน
ฎีกาที่ 2524-2525/2529   บริษัท ม. เป็นบริษัทในเครือของจำเลย แต่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลแยกต่างหากจากกันจึงไม่ใช่บุคคลคนเดียวกัน โจทก์เคยฟ้องบริษัท ม.    เรียกค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้ามาแล้ว    มาฟ้องเรียกเงินจากจำเลยอีกได้ไม่เป็นฟ้องซ้ำ
- พนักงานอัยการฟ้องคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา และท้ายฟ้องมีการขอตามมาตรา 43 ป.วิอาญาแทนผู้เสียหายแล้วถือว่าผู้เสียหายเป็นโจทก์ในคดีดังกล่าวด้วย (583/38)
3.  ประเด็นที่วินิจฉัยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน  ในหลักเกณฑ์ข้อนี้มีสาระสำคัญอยู่สองประการ คือ
      ก.  คำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นได้วินิจฉัยในเนื้อหาของเรื่องที่ฟ้องร้องกัน ถ้าไม่ได้วินิจฉัยไม่ถือว่าเป็นการฟ้องซ้ำ เช่น กรณีโจทก์ถอนฟ้อง  หรือศาลสั่งจำหน่ายคดี   หรือศาลยกฟ้องเพราะฟ้องเคลือบคลุมหรือเพราะฟ้องโจทก์บกพร่อง     แม้ศาลจะพิพากษายกฟ้องก็ต้องดูว่ายกฟ้องในเนื้อหาของฟ้องหรือไม่
      ข.  ประเด็นที่ศาลวินิจฉัยในตอนหลังเป็นประเด็นที่อาศัยเหตุอย่างเดียวกับประ เด็นที่ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดไปแล้ว
ฎีกาที่  1855/2535       โจทก์ถอนฟ้องคดีก่อน       ศาลชั้นต้นจึงยังมิได้มีคำพิพากษาวินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทแห่งคดี     การที่โจทก์นำมูลคดีเดียวกันมาฟ้องเป็นคดีนี้   จึงมิใช่เป็นการรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันดังนี้เป็นฟ้องซ้ำอันต้อง ห้าม ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148  (ไม่เป็นฟ้องซ้ำอันเป็นการต้องห้ามตาม 148  ฟ้องใหม่ได้ในอายุความ)
ฎีกาที่  499/2541     ศาลชั้นต้นวินิจฉัยคดีเดิมว่า   สัญญาเช่ายังไม่สิ้นสุดจึงยังไม่มีการโต้แย้งสิทธิตามมาตรา 55    คดีนี้สัญญาเช่าสิ้นสุดแล้วจำเลยไม่ออกไปจากตึกและที่พิพาท  โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยได้เพราะคดีก่อนศาลยังมิได้วินิจฉัยในประเด็นที่เป็นเนื้อหาแห่งคดี
-   ในกรณีที่มีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันแล้วศาลพิพากษาตามยอม แม้ว่าจะมิได้ทำยอมกันในทุก ๆ ประเด็นก็ตาม ในกรณีเช่นนี้ถือว่าทุก ๆ    ประเด็นที่ว่ากันมาในคดีเดิมนั้นศาลได้วินิจฉัยในเนื้อหาของฟ้องแล้วห้ามนำประเด็นนั้น ๆ มาฟ้องอีก
-    ในกรณีที่คู่ความท้ากันในศาลวินิจฉัยคดีโดยเหตุใดก็ดี  หรือกรณีโจทก์ไม่มีพยานมาสืบตามเนื้อหาที่ฟ้องก็ดี    หรือศาลสั่งงดสืบพยานโจทก์เพราะความผิดหรือความบกพร่องของโจทก์ก็ดี หรือไม่มีพยานมาศาลด้วยเหตุผลที่ไม่อาจจะอ้างได้ ถือว่าศาลได้วินิจฉัยในเนื้อหาแห่งคดีแล้ว  (ฎีกาที่  1007/22 )
ข.       ประเด็นที่ศาลจะวินิจฉัยในตอนหลังเป็นประเด็นที่อาศัยเหตุอย่างเดียวกันกับ
ประเด็นที่ศาลได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว
            คำว่า    “โดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน”    หมายถึง   ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักเหล่งแห่งข้อหาอย่างเดียวกัน  แม้ว่าคำขอบังคับจะเป็นคนละอย่างกันก็ตามก็ต้องถือว่าอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน     ดังนั้นการที่จะพิจารณาว่าเป็นเหตุอย่างเดียวกันต้องดูที่ข้ออ้างเป็นสำคัญ  (หมายถึงที่ตั้งแห่งสิทธิตามมาตรา 55 นั่นเอง)    ดังนั้น  ถ้าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเหมือนกันแต่เป็นเหตุที่เกิดขึ้นคนละตอนกัน ก็ไม่ถือว่าเป็นเหตุหรือข้ออ้างอย่างเดียวกัน

ฎีกาที่  905/2532   คดีก่อนจำเลยทั้งสามกล่าวหาโจทก์ว่าจะเลยไม่ทำบัญชีทรัพย์มรดก     ไม่รายงานแสดงบัญชีการจัดการ   และไม่แบ่งปันมรดกให้เสร็จภายใน 1 ปี    นับแต่วันที่ศาลมีคำสั่งตั้งให้โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกผู้ตายให้ถอนโจทก์ออกจากการเป็นผู้จัดการมรดก   ของผู้ตายคดีถึงที่สุดแล้ว คดีนี้โจทก์กล่าวหาจำเลยทั้งสามว่าละเลยไม่ทำการตามหน้าที่ของผู้จัด การมรดก มิได้จัดทำบัญชีทรัพย์มรดกในเวลาและตามแบบที่กำหนดไว้  ไม่ทำรายงานแสดงบัญชีการจัดการและแบ่งปันมรดกให้เสร็จภายใน 1 ปี    นับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา   จำเลยทั้งสามไม่สามารถเป็นผู้จัดการมรดก       คดีก่อนกับคดีนี้จึงมีประเด็นข้อพิพาทคนละอย่างคนละเหตุกัน ฟ้องโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ
ข้อสังเกต     ตามฎีกานี้ศาลชี้ถึงประเด็นข้อพิพาทว่าเป็นคนละอย่างกัน      แต่จริง ๆ  แล้วประเด็นข้อพิพาทจะอย่างเดียวกันหรือไม่ไม่สำคัญ  อยู่ที่ข้ออ้างว่าเป็นอย่างเดียวกันหรือไม่  โจทก์ในคดีนี้เป็นจำเลยในคดีก่อนที่จำเลยในคดีนี้ฟ้องถอดถอนโจทก์ออกจากการเป็นผู้จัด การมรดกเพราะเหตุอย่างเดียวกันคดีนี้    แต่เมื่อศาลตั้งให้จำเลยในคดีนี้เป็นผู้จัดการมรดกและจำเลยได้จัดการมรดกผู้ตายเป็นเหตุการณ์คนละตอนกับคดีก่อนซึ่งโจทก์ในคดีนี้จัดการ  เมื่อโจทก์นำคดีนี้มาฟ้องจำเลยในคดีนี้ใหม่เป็นการอ้างฐานแห่งสิทธิคนละข้ออ้างกัน   (คดีก่อนโจทก์ถูกหาว่าไม่กระทำตามหน้าที่  คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยไม่กระทำตามหน้าที่ ) จึงมิต้องห้ามไม่ให้นำมาฟ้องใหม่ ไม่เป็นฟ้องซ้ำ    

            ถ้าศาลได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว แม้ว่าตนจะยังไม่เคยนำเอาเหตุนั้นมาฟ้องเลย  แต่ถ้าเป็นข้ออ้างอย่างเดียวกันกับคดีก่อนก็เป็นฟ้องซ้ำ
            ดำ ฟ้องแดงว่าขับรถโดยประมาททำให้ดำเสียหาย  แดงต่อสู้ว่าไม่ได้ประมาท  ศาลมีคำพิพากษาว่าดำเป็นฝ่ายประมาทให้ชดใช้ค่าเสียหาย      ดำนำคดีมาฟ้องแดงเป็นอีกคดีว่าแดงประมาท  (ในเหตุการณ์เดียวกัน)  ฟ้องดำเป็นฟ้องซ้ำ    เพราะข้ออ้างว่าแดงหรือดำเป็นฝ่ายประมาทศาลได้มีคำวินิจฉัยอันถึงที่สุดไปแล้วในคดีก่อน  แม้ดำยังไม่เคยฟ้องแดงเลยก็ตาม แต่ผลของคำวินิจฉัยก็ต้องฟังว่าดำเป็นฝ่ายประมาท  ถ้าดำจะฟ้องว่าแดงประมาท  ดำต้องฟ้องแย้งมาในคดีก่อน เมื่อดำไม่ได้ฟ้องแย้ง   ข้อเท็จจริงก็ต้องฟังเป็นยุติว่าดำประมาท  สิทธิที่ดำจะนำคดีมาฟ้องว่าแดงประมาทนั้นเป็นอันหมดสิ้นไป
ถ้าคดีก่อนศาลวินิจฉัยว่าดำประมาททำให้แดงเสียหายแต่แดงก็มีส่วนประมาทอยู่ด้วย  จึงให้ลดค่าเสียหายลงตามส่วน    หมายความว่าศาลฟังเป็นยุติว่าแดงประมาทต่อดำด้วยและค่าเสียหายก็ได้ลดให้ลงตามส่วนที่แดงประมาทแล้ว  ถ้าดำมิได้ฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายไว้ในคดีเดิม ดำก็จะนำคดีนี้มาฟ้องใหม่ไม่ได้เพราะถือว่าศาลได้มีคำวินิจฉัยอันถึงที่สุดแล้ว  ถ้านำ มาฟ้องใหม่เป็นการรื้อร้องฟ้องคดีที่วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันเป็นฟ้องซ้ำ
การวินิจฉัยประเด็นในคดีก่อนต้องเป็นประเด็นที่ศาลวินิจฉัยโดยชอบแล้ว ถ้าเป็นการวินิจฉัยโดยไม่ชอบก็ไม่ถือเป็นการวินิจฉัยในประเด็นนั้นนำมาฟ้องใหม่ก็ไม่เป็นฟ้องซ้ำ  เช่น  ถ้าดำให้การต่อสู้เพียงว่าดำมิได้ประมาท      ศาลจะมีอำนาจวินิจฉัยเพียงดำประมาทหรือไม่เท่านั้น  ถ้าศาลวินิจฉัยว่าดำไม่ประมาทเป็นคำวินิจฉัยโดยชอบแล้ว          แต่ถ้าศาลเลยไปวินิจฉัยในประเด็นอื่นด้วย  เช่น    ดำมิได้ประมาทแต่แดงประมาท  เป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็น เพราะดำมิได้ฟ้องแย้งมาว่าแดงประมาท 

ข้อยกเว้นที่ไม่เป็นฟ้องซ้ำ
1.  การบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งศาล
      ก.  การที่ได้มีการบังคับคดีกับทรัพย์ใดของลูกหนี้ตามคำพิพากษาแล้วไม่พอชำระหนี้ การที่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาจะขอบังคับเอากับทรัพย์สินอื่นของลูกหนี้อีกนั้น  ไม่ถือว่าเป็นการฟ้องซ้ำหรือดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ
                 ข.  เมื่อมีปัญหาโต้แย้งกันในชั้นบังคับคดีตามคำพิพากษาว่าบังคับอย่างนั้นเป็นการถูกต้องตามคำพิพากษาหรือคำสั่งหรือไม่ก็ต้องมีการไต่สวนและดำเนินการกันในชั้นนั้นอย่างนี้ไม่ถือว่าเป็นการฟ้องซ้ำ  แม้ว่าจะต้องมีการพิจารณาทั้งคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นว่าจะต้องมีการบังคับกันอย่างไร  ที่โจทก์ขอให้บังคับนั้นถูกต้องหรือไม่ก็ตาม
ฎีกาที่  508/2507   ศาลพิพากษาให้จำเลยจัดการแบ่งแยกที่ดินโอนขายให้โจทก์ตามแผนที่ท้ายฟ้อง     ถ้าจำเลยไม่สามารถขายได้ ให้จำเลยคืนมัดจำพร้อมดอกเบี้ยและใช้ค่าเสียหาย     แม้ในชั้นแรกศาลไม่อาจปฏิบัติการให้เป็นไปตามคำบังคับวิธีแรกได้จึงบังคับตามวิธีที่ 2 แต่การบังคับคดียังไม่เสร็จสิ้นถึงที่สุดต่อมา  ปรากฏว่าจำเลยยังไม่สามารถแบ่งที่ดินโอนขายให้โจทก์ได้    เมื่อโจทก์ร้องขอศาลย่อมเปลี่ยนแปลงการบังคับคดีตามคำบังคับวิธีแรกกับจำเลยใหม่ได้
            แม้ศาลสูงจะเคยวินิจฉัยปัญหาในเรื่องการบังคับคดีตามคำบังคับวิธีการที่ 2 มาครั้งหนึ่งแล้วก็ตามคู่ความก็ย่อยอุทธรณ์ฎีกาให้ศาลสูงวินิจฉัยถึงการบังคับคดีตามคำบังคับวิธีการแรกอีกได้    เพราะเป็นกระบวนพิจารณาในชั้นบังคับคดี ต้องด้วยข้อยกเว้นไม่เป็นการรื้อร้องฟ้องซ้ำตาม ป.วิแพ่ง 148 (1)
-  ถ้าเพียงแต่เป็นกระบวนพิจารณาในชั้นบังคับคดี     แต่ไม่ใช่ปัญหาในการบังคับคดีแต่เป็นปัญหาเกี่ยวกับบุคคลอื่นที่เข้ามาเกี่ยวข้องในกระบวนพิจารณาในชั้นบังคับคดีอย่างนี้ไม่อยู่ในข้อยกเว้นตามข้อนี้
ฎีกาที่  2830/2517      คดีเดิมศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยแบ่งที่พิพาทให้โจทก์กึ่งหนึ่ง    ในระ หว่างการบังคับคดีขายทอดตลาดที่พิพาทเพื่อนำเงินมาแบ่งกันระหว่างโจทก์จำเลยนั้น   ศาลได้มีคำพิพากษาตามยอมในอีกคดีหนึ่งว่า     ผู้ร้องทั้งสามมีกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทเฉพาะส่วนของจำเลย  ผู้ร้องที่  1  จึงได้ร้องขัดทรัพย์ในคดีนี้    ขอให้ปล่อยที่พิพาทแต่ศาลสั่งยกคำร้อง  คดีถึงที่สุดไปแล้ว ต่อมาผู้ร้องที่ 1, 2 และ 3 ได้ยื่นคำร้องขัดทรัพย์ในคดีนี้อีกอ้างว่า     ผู้ร้องทั้งสามกับจำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อหน้าศาลโดยจำเลยยกที่พิพาทส่วนของจำเลยให้ผู้ร้องทั้งสาม   ผู้ร้องทั้งสามจึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่พิพาททั้งแปลงขอให้ศาลปล่อยที่พิพาทอีก ดังนี้ สำหรับผู้ร้องที่ 1 นั้น ศาลได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วว่า   ผู้ร้องที่  1  ไม่มีสิทธิร้องขอให้ปล่อยทรัพย์พิพาทผู้ร้องที่  1  จะร้องขัดทรัพย์ในคดีนี้ในประเด็นที่ศาลได้วินิจฉัยชี้ขาด โดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันอีกไม่ได้เป็นการต้องห้ามตาม ป.วิแพ่ง    มาตรา 148   กรณีไม่เข้าข้อยกเว้นตามมาตรา   148 (1) เพราะตามมาตรา 288 ให้ศาลพิจารณาชี้ขาดคดีคำร้องขัดทรัพย์เหมือนคดีธรรมดาส่วนผู้ร้องที่ 2 ที่ 3  มิได้ร่วมร้องขัดทรัพย์ครั้งแรก  แต่ร้องขัดทรัพย์ในครั้งนี้โดยอ้างว่า เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่พิพาทในส่วนของจำเลยที่ได้มาโดยคำพิพากษา   และผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์มาในระหว่างที่มีการบังคับคดียึดทรัพย์พิพาทเพื่อบังคับคดีตามคำพิพากษาศาลฎีกา     ซึ่งวินิจฉัยแล้วว่าโจทก์จำเลยเป็นเจ้าของที่พิพาทร่วมกัน เมื่อจำเลยยอมให้ส่วนของตนในที่พิพาทตกเป็นของผู้ร้อง   ผู้ร้องที่  2   ที่ 3 จึงเป็นเพียงผู้เข้าสวมสิทธิในที่ดินส่วนของจำเลย    การที่ผู้ร้องที่ 2   ที่ 3 มาร้องขอให้ปล่อยทรัพย์พิพาทโดยอ้างว่าทรัพย์ที่ยึดไม่ใช่ของโจทก์หรือจำเลยย่อมเป็นการไม่ชอบด้วยการดำเนินคดีร้องขัดทรัพย์ตาม ป.วิแพ่ง มาตรา 288 ศาลย่อมสั่งยกคำร้อง
ข้อสังเกต  ฎีกานี้ผู้ร้องเป็นผู้สวมสิทธิของจำเลย   จำเลยมีสิทธิอย่างไรผู้ร้องมีสิทธิอย่างนั้น เมื่อศาลวินิจฉัยว่าให้ที่เป็นของโจทก์  จำเลยคนละกึ่งหนึ่งผู้ร้องจะร้องขัดทรัพย์มิได้      และข้อยกเว้นตาม 148 (1)  นี้ต้องเป็นเรื่องโต้เถียงกันว่าที่ได้ปฎิบัติตามคำบังคับนั้นถูกต้องตามคำพิพากษาหรือไม่เท่านั้น      เรื่องนี้มิได้โต้เถียงในส่วนการบังคับคดีตามคำพิพากษาว่าถูก ต้องหรือไม่เลย
2.    คำพิพากษาหรือคำสั่งกำหนดวิธีการชั่วคราวที่จะแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ตามพฤติการณ์
ตามหลักคำพิพากษาแก้ไขเปลี่ยนแปลงไม่ได้   เว้นแต่เป็นการแก้ไขข้อผิดพลาดหรือผิดหลงเล็กน้อยตามมาตรา 143  แต่มาตรา 148 (2) นั้น เป็นการยกเว้นมาตรา 143  และไม่ถือว่าเป็นการฟ้องซ้ำ เมื่อมีการพิพากษาหรือคำสั่งใหม่  เช่นตาม ปพพ. ม. 448  ค่าเสียหายแก่อนามัย  ม. 1598/39  ค่าอุปการะเลี้ยงดู    เพราะศาลไม่อาจพิจารณาได้เป็นการแน่นอนในขณะพิพากษา  ป.วิแพ่ง 148(2) จึงให้แก้ไขเปลี่ยนแปลงได้
3.  ศาลพิพากษายกฟ้องโดยไม่ตัดสิทธิที่จะนำมาฟ้องใหม่ภายในกำหนดอายุความ   เมื่อคำพิพากษากำหนดไว้ดังนี้ก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องฟ้องซ้ำแม้ใน 148  วรรคแรกจะเป็นฟ้องซ้ำก็ตาม
ฎีกาที่  2522/31   โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินภาษีอากร      ศาลพิพากษายกฟ้อง โดยกำหนดไว้ในคำพิพากษาว่าไม่ตัดสิทธิที่จะนำคดีมาฟ้องใหม่ภายในกำหนด 30 วันนับแต่วันฟังคำพิพากษา  เช่นนี้โจทก์นำคดีมาฟ้องใหม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5904/2551
ในคดีก่อนโจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาล ชั้นต้นมีคำสั่งงดการบังคับคดี โดยอ้างเหตุว่าโจทก์ได้โอนรถยนต์ตีใช้หนี้ให้แก่จำเลยเสร็จสิ้นแล้วก่อนวัน นัดสืบพยาน แต่จำเลยไม่ถอนฟ้องตามที่ตกลงไว้กับโจทก์ ซึ่งศาลชั้นต้นในคดีก่อนวินิจฉัยในสาระสำคัญว่า ข้ออ้างของโจทก์ดังกล่าวหากจะพึงมีก็เป็นเรื่องที่โจทก์ต้องยกขึ้นว่ากล่าว กับจำเลยเป็นอีกส่วนหนึ่ง ไม่เป็นเหตุที่จะยกขึ้นอ้างเพื่อให้งดการบังคับคดีได้ ดังนี้ คดีก่อนศาลชั้นต้นจึงยังมิได้วินิจฉัยชี้ขาดว่า โจทก์ได้โอนรถยนต์ตีใช้หนี้ให้แก่จำเลยเสร็จสิ้นแล้วจริงหรือไม่ การที่โจทก์มาฟ้องจำเลยคดีนี้จึงมิใช่เป็นเรื่องที่ศาลได้มีคำพิพากษาหรือคำ สั่งถึงที่สุดแล้วคู่ความเดียวกันมารื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้ วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ฟ้องโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำอันจะเป็นการต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148 ทั้งมิใช่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำตามมาตรา 144 ด้วยเช่นกัน

คำ พิพากษาในคดีก่อนย่อมผูกพันโจทก์ให้ต้องชำระหนี้แก่จำเลยตามที่กำหนดไว้ในคำ พิพากษา หากโจทก์ได้โอนรถยนต์ตีใช้หนี้ให้แก่จำเลยเสร็จสิ้นแล้ว ก่อนที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาในคดีก่อนจริงโจทก์ก็ชอบที่จะฟ้องให้จำเลยรับ ผิดเพื่อความเสียหายใดๆ อันเกิดจากการผิดข้อตกลงชำระหนี้ แต่โจทก์จะฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีก่อนเป็นอันระงับ ให้งดการบังคับคดี และบังคับให้จำเลยแจ้งถอนการยึดทรัพย์หาได้ไม่ เพราะจำเลยมีสิทธิที่จะบังคับคดีเพื่อให้ได้รับชำระหนี้ตามคำพิพากษาในคดี ก่อนซึ่งผูกพันโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4824/2551
การที่ทายาทคนหนึ่งฟ้องผู้จัดการมรดกเกี่ยวกับการจัดการมรดกถือเป็นการฟ้องแทนทายาทคนอื่นๆ ด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2963/2551
โจทก์ ทั้งสี่ฟ้องคดีนี้และคดีก่อนโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันว่าจำเลยซึ่งเป็นเจ้า ของสามยทรัพย์มิได้ใช้ภาระจำยอม 10 ปี และภาระจำยอมหมดประโยชน์แก่สามยทรัพย์แล้ว การที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องคดีก่อน เพราะข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยเป็นเจ้าของสามยทรัพย์ ถือว่าศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นแห่งคดีแล้วว่าจำเลยไม่ใช่เจ้าของ สามยทรัพย์ ผลแห่งคำพิพากษาในคดีก่อนย่อมผูกพันโจทก์ซึ่งเป็นคู่ความตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145 วรรคหนึ่ง การที่โจทก์ทั้งสี่ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้อ้างว่าจำเลยเป็นเจ้าของสามยทรัพย์ จึงเป็นการรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่าง เดียวกัน เป็นฟ้องซ้ำต้องห้ามตามมาตรา 148

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2578/2551
คดี ก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาว่า โจทก์ไม่ได้นำพยานหลักฐานมาสืบให้เห็นว่า บ. เป็นผู้มีอำนาจกระทำการแทนธนาคาร ก. ผู้โอน หนังสือการโอนขายสินเชื่อระหว่างผู้โอนกับโจทก์จึงไม่สมบูรณ์ไม่อาจนำมาฟ้อง บังคับจำเลยได้ และพิพากษายกฟ้องโดยยังมิได้วินิจฉัยชี้ขาดประเด็นในเนื้อหาแห่งคดีว่าจำเลย ผิดสัญญาทำให้โจทก์มีสิทธิบังคับชำระหนี้หรือไม่ อันเป็นเรื่องโจทก์แสดงอำนาจฟ้องไม่ถูกต้องคดีถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลชั้น ต้นแล้ว เมื่อโจทก์มาฟ้องจำเลยเป็นคดีใหม่ให้รับผิดในมูลหนี้เดิมโดยแสดงหลักฐานการ เป็นผู้มีอำนาจกระทำการแทนธนาคาร ก. ของ บ. ย่อมเป็นการแสดงอำนาจฟ้องให้ปรากฏว่าโจทก์ทำสัญญารับโอนสิทธิเรียกร้องราย นี้มาจากผู้โอนแล้ว จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2039/2551
ประเด็น ในคดีก่อนมีว่า ผู้ร้องทำละเมิดต่อผู้คัดค้านที่ 1 โดยการทำรั้วในที่ดินของผู้คัดค้านที่ 1 หรือไม่ ส่วนในคดีนี้มีประเด็นว่าผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครอง ปรปักษ์หรือไม่จึงเป็นคนละประเด็นกัน ทั้งผู้คัดค้านที่ 2 และผู้คัดค้านร่วมมิได้เป็นคู่ความในคดีก่อน การยื่นคำร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินของผู้ร้องในคดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ หรือดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำกับคดีก่อน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1010/2551
กรณีจะ เป็นฟ้องซ้ำต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148 นั้น คู่ความทั้งสองคดีต้องเป็นคู่ความเดียวกัน เมื่อคดีก่อน ก. เป็นโจทก์มีโจทก์คดีนี้เป็นผู้ฟ้องแทนในฐานะผู้แทนโดยชอบธรรมของ ก. ผู้เยาว์ แต่คดีโจทก์ฟ้องจำเลยเป็นส่วนตัวในฐานะเป็นคู่สัญญาตามสัญญาประนีประนอมยอม ความ มิใช่คู่ความเดียวกัน จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ
บันทึกข้อตกลงชดใช้ค่าเสีย หายที่จำเลยกระทำละเมิดต่ออำนาจปกครองของโจทก์โดยพรากผู้เยาว์ไปจากโจทก์ ไม่มีข้อความตอนใดระบุว่าคู่กรณีประสงค์จะระงับคดีอาญาที่เป็นความผิดต่อ แผ่นดิน สัญญาประนีประนอมยอมความตามบันทึกดังกล่าวจึงมีผลใช้บังคับได้ตามกฎหมาย มิได้มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายหรือขัดต่อความสงบเรียบ ร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนอันจะเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 150

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 650/2551
โจทก์ ฟ้องคดีนี้กล่าวอ้างว่าจำเลยสร้างรั้วไม้ไผ่รุกล้ำเข้าไปในที่ดินโจทก์ทาง ด้านทิศเหนือ 7 ตารางวา แต่ส่วนที่โจทก์อ้างว่าจำเลยสร้างรั้วไม้ไผ่รุกล้ำดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของ พื้นที่ที่โจทก์อ้างว่าจำเลยสร้างรั้วเข้าไปในที่ดินโจทก์ในคดีก่อน เมื่อคดีก่อนศาลพิพากษาถึงที่สุดว่าจำเลยมิได้สร้างรั้วรุกล้ำที่ดินของ โจทก์ การที่โจทก์มาฟ้องเป็นคดีนี้ว่าที่ดินดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินที่ โจทก์ครอบครองทำประโยชน์อีก จึงเป็นการรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ศาลได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุเดียว กัน จึงเป็นฟ้องซ้ำ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 487/2551
ก่อนที่ โจทก์ฟ้องคดีนี้โจทก์ได้ฟ้อง ว. ซึ่งเป็นผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาททั้ง 128 ฉบับ ที่ศาลแพ่งธนบุรี 2 คดี ซึ่งคดีถึงที่สุดโดยศาลพิพากษาให้ ว. ชำระเงินตามเช็คพร้อมดอกเบี้ยให้โจทก์ และโจทก์ฟ้องบริษัท น. ที่ศาลจังหวัดสมุทรปราการ 2 คดี ซึ่งศาลจังหวัดสมุทรปราการพิพากษาให้บริษัท น. ชำระเงินตามฟ้องโจทก์ คดีถึงที่สุด ส่วนคดีของศาลจังหวัดสมุทรปราการจำเลยอุทธรณ์ คดีอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 1 คดีทั้งสี่สำนวนดังกล่าวจำเลยผู้สั่งจ่ายยังไม่ได้ชำระเงินตามคำพิพากษาให้ โจทก์ ดังนั้น โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องคดีนี้และโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสามคดีนี้ให้รับผิดตาม สัญญาขายลดเช็ค ส่วนคดีเดิมทั้งสี่สำนวนโจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดในฐานผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาท แม้การฟ้องคดีนี้กับคดีเดิมเป็นการฟ้องเกี่ยวกับเช็คพิพาทชุดเดียวกันแต่มูล หนี้คดีนี้เป็นคนละมูลหนี้กับคดีเดิมและสภาพแห่งข้อหาต่างกันทั้งจำเลยก็ เป็นคนละคนกัน กรณีมิใช่คู่ความเดียวกันรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดย อาศัยเหตุอย่างเดียวกันและมิใช่เป็นการยื่นคำฟ้องเรื่องเดียวกันนั้นต่อศาล เดียวกันหรือต่อศาลอื่นอันต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148 วรรคหนึ่ง และมาตรา 173 วรรคสอง (1) จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำและฟ้องซ้อน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 279/2551
คดี ก่อนคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคฟ้องคดีแทนผู้บริโภคทั้งหลายซึ่งเป็นผู้ทำ สัญญาซื้อขายบ้านและที่ดินกับจำเลยทั้งสอง แต่โจทก์ในคดีนี้มิใช่ลูกค้าหรือผู้ซื้อบ้านและที่ดินในโครงการของจำเลยทั้ง สอง จึงไม่ใช่ผู้บริโภคที่คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคซึ่งเป็นโจทก์ในคดีก่อน ได้ฟ้องคดีแทน กรณีจึงไม่อาจถือว่าคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคได้ฟ้องคดีแทนโจทก์คดีนี้ ด้วย ย่อมไม่ไช่คู่ความรายเดียวกัน ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำหรือฟ้องซ้อนกับคดีก่อนตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148 และ 173 วรรคสอง (1)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10261/2550
โจทก์ และจำเลยในคดีนี้กับคู่ความในคดีก่อนเป็นคู่ความเดียวกัน โดยคดีก่อนจำเลยฟ้องโจทก์มีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยคือขอให้พิสูจน์สิทธิใน ที่ดินพิพาทที่โจทก์นำไปออกโฉนดว่าเป็นของจำเลยหรือไม่ ศาลชั้นต้นได้มีคำวินิจฉัยแล้วว่าที่พิพาทเป็นของจำเลย แม้ศาลชั้นต้นจะยกฟ้อง ก็เนื่องมาจากว่าจำเลยมิได้ร้องขอให้เพิกถอนโฉนดที่ดินซึ่งจำเลยกล่าวอ้าง ว่าโจทก์ออกโฉนดดังกล่าวโดยมิชอบ แต่จำเลยกลับมีคำขอให้บังคับโจทก์โอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินให้แก่จำเลย ซึ่งเมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยย่อมไม่จำต้องมีการโอน กรรมสิทธิ์กันอีก เนื่องจากที่พิพาทเป็นของจำเลยอยู่แล้ว ที่จำเลยมีคำขอให้โจทก์โอนกรรมสิทธิ์ให้นั้นจึงเป็นกรณีที่ไม่จำต้องมีการ บังคับตามคำขอ มิใช่คำฟ้องไม่สมบูรณ์ แต่เป็นกรณีที่ศาลไม่อาจบังคับตามคำขอให้ได้เท่านั้น คู่ความยังคงต้องผูกพันตามคำพิพากษาตาม ป.วิ.พ. 145

โจทก์ยื่นฟ้อง จำเลยเป็นคดีนี้ขอให้ห้ามจำเลยและบริวารเข้ายุ่งเกี่ยวกับที่ดินพิพาท และจำเลยฟ้องแย้งขอให้ห้ามโจทก์เข้ายุ่งเกี่ยวกับที่ดินพิพาทกับมีคำขอให้ เพิกถอนโฉนดที่ดินพิพาท ซึ่งเป็นการห้ามเกี่ยวเนื่องกับคดีก่อน แม้จำเลยมีคำขอเพิ่มมาในฟ้องแย้งขอให้เพิกถอนโฉนดที่ดินพิพาท แต่ก็ยังคงเป็นกรณีที่ต้องพิสูจน์ให้ได้ก่อนว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือ ของจำเลย จึงเป็นประเด็นที่ต้องวินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันกับคดีก่อนที่ศาล ชั้นต้นได้มีคำวินิจฉัย และคดีถึงที่สุดแล้ว ฟ้องโจทก์และฟ้องแย้งของจำเลยในคดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้ำต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8418/2550
ข้อโต้แย้ง เกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของโจทก์จำเลยตามคำฟ้องในคดีนี้เป็นเรื่องที่เกิด ขึ้นภายหลังโจทก์และจำเลยตกลงแบ่งแยกที่ดินเป็นสัดส่วนกันตามสัญญาประนี ประนอมยอมความซึ่งศาลชั้นต้นได้พิพากษาตามยอมคดีถึงที่สุดในคดีก่อนที่ให้ โจทก์และจำเลยมีสิทธิในที่ดินคนละครึ่งของจำนวนเนื้อที่ดินทั้งหมดทั้งแปลง ส่วนจะเป็นทางทิศใดจะไปตกลงกันในภายหลัง ทั้งคำขอบังคับในคดีนี้ก็ขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของ ในที่ดินส่วนที่แบ่งแยกเป็นของโจทก์แต่เพียงผู้เดียว แตกต่างกับคำขอบังคับในคดีก่อนที่ขอให้บังคับจำเลยใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของ ร่วมกับจำเลยในโฉนดที่ดิน คำฟ้องของโจทก์คดีนี้กับคดีก่อนมิใช่เรื่องเดียวกันและเป็นคนละเรื่องคนละ ประเด็นกัน จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8401/2550
ป. ซึ่งเป็นลูกจ้างกระทำผิดสัญญาจ้างแรงงานต่อบริษัท บ. ซึ่งเป็นนายจ้างโดยรวบรวมเงินจากลูกค้าและพนักงานในสาขาแล้วส่งให้บริษัท บ. ไม่ครบรวม 16 ครั้ง เป็นเงิน 616,635.32 บาท แล้ว ป. ได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ขอผ่อนชำระเงินดังกล่าวแก่บริษัท บ. แต่ ป. ไม่ชำระตามที่รับสภาพหนี้ไว้ บริษัท บ. จึงฟ้อง ป. ต่อศาลแรงงานกลางให้ชำระหนี้ดังกล่าวเป็นคดีเดิม ต่อมาบริษัท บ. ตรวจสอบพบว่า ป. ได้รวบรวมเงินจากลูกค้าและพนักงานในสาขาแล้วส่งให้บริษัท บ. ไม่ครบ เพิ่มอีก 5 ครั้ง จึงให้ ป. ทำหนังสือรับสภาพหนี้เพิ่มแล้วนำยอดหนี้ดังกล่าวฟ้อง ป. ต่อศาลแรงงานกลางให้ชำระหนี้เป็นอีกคดีหนึ่ง ส่วนคดีนี้บริษัท บ. รวบรวมความเสียหายอื่นที่ ป. ก่อให้เกิดขึ้นคนละคราวกับสองคดีก่อนซึ่งเป็นการกระทำต่างกรรมต่างวาระและ เป็นการฟ้องเรียกหนี้ตามหนังสือรับสภาพหนี้แต่ละฉบับโดยมีค่าปรับที่ต้อง ชำระแต่ละคราวรวมอยู่ด้วย บริษัท บ. จึงไม่จำต้องนำยอดหนี้อื่นนอกเหนือจากยอดหนี้ตามหนังสือรับสภาพหนี้ที่ ป. ตกลงจะชำระให้เป็นส่วนหนึ่งต่างหากแล้วผิดนัดมารวมฟ้องเป็นคดีเดียวกัน ฟ้องคดีนี้จึงมิใช่เป็นการรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดย อาศัยเหตุอย่างเดียวกันจึงมิใช่เป็นการฟ้องซ้ำกับคดีเดิมตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4057/2550
คดีเดิมมีประเด็นว่า โจทก์ในคดีนี้ผิดสัญญาเช่าหรือไม่ ส่วนในคดีนี้มีประเด็นว่าโจทก์มีสิทธิฟ้องขับไล่หรือไม่ คดีนี้โจทก์อ้างเหตุว่าสัญญาเช่าและสัญญาประนีประนอมยอมความไม่ผูกพันโจทก์ เพราะมีการปลอมเอกสารแล้วทำสัญญาเช่าโดยผู้ทำไม่มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ ซึ่งไม่เกี่ยวกับความรับผิดตามสัญญาเช่า อีกทั้งประเด็นที่ต้องวินิจฉัยทั้งสองคดีมิได้อาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1182/2550
โจทก์ เคยนำมูลหนี้ตามคำพิพากษาในคดีแพ่งมาฟ้องขอให้จำเลยล้มละลายในคดีก่อน แต่โจทก์ขาดนัดพิจารณาและศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดีของโจทก์แล้วโดยที่ยังมิได้ วินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นแห่งคดีตามคำฟ้องดังกล่าว ดังนั้น การที่โจทก์ฟ้องจำเลยใหม่เป็นคดีนี้โดยอ้างเหตุอย่างเดียวกับคดีก่อน จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ
นอกจากพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบฟังได้ว่า โจทก์เป็นผู้รับโอนสิทธิเรียกร้องของเจ้าหนี้เดิมที่มีต่อจำเลยโดยทำสัญญา ซื้อขายสินทรัพย์กับองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.) โดยชอบแล้ว จำเลยยังคงต้องผูกพันตามคำพิพากษาในคดีแพ่งที่วินิจฉัยว่า ปรส. มีอำนาจในการขายสินทรัพย์จนกว่าคำพิพากษานั้นได้ถูกเปลี่ยนแปลง แก้ไข กลับหรืองดเสีย จำเลยจึงเป็นหนี้โจทก์ในมูลหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวและเป็นหนี้ที่อาจกำหนด จำนวนได้โดยแน่นอนแล้ว แม้จำเลยอุทธรณ์คำพิพากษาในคดีแพ่งดังกล่าวและคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของ ศาลอุทธรณ์ กรณีก็ถือไม่ได้ว่ามีเหตุอื่นที่ไม่ควรให้จำเลยล้มละลาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3509/2550
ก่อน หน้าคดีนี้ จำเลยเป็นโจทก์ฟ้องโจทก์กับพวกเป็นจำเลยต่อศาลชั้นต้นว่า โจทก์กับพวกกระทำผิดสัญญาหุ้นส่วนและไม่แบ่งปันผลกำไรขอให้ใช้เงินคืน ซึ่งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาคือโจทก์กับจำเลยเป็นหุ้นส่วนทำฟาร์ม เลี้ยงกบด้วยกันและจำเลยไม่คืนเงินลงทุนและแบ่งกำไรให้โจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ชำระเงินแก่จำเลยตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 661/2547 คดีถึงที่สุดแล้ว ต่อมาโจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้อ้างว่า จำเลยจงใจและใช้กลฉ้อฉลหลอกลวงให้โจทก์ต้องรับภาระในการลงทุนที่หนักกว่าที่ โจทก์จะยอมรับโดยปกติ โดยโจทก์จะต้องออกเงินลงทุนในการเลี้ยงกบไปถึง 131,377 บาท ขอให้บังคับจำเลยใช้เงินคืนโจทก์จำนวนครึ่งหนึ่ง แม้ข้อหาที่จำเลยฟ้องโจทก์ในคดีก่อนจะเป็นเรื่องผิดสัญญาหุ้นส่วนและขอให้ ใช้เงินคืน และข้อหาในคดีนี้โจทก์เปลี่ยนแปลงรูปคดีใหม่เป็นเรื่องกลฉ้อฉลก็ตาม แต่แท้ที่จริงประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยก็สืบเนื่องมาจากมูลฐานและข้อ อ้างอย่างเดียวกันคือ โจทก์และจำเลยเป็นหุ้นส่วนทำฟาร์มเลี้ยงกบกันหรือไม่ และเงินที่โจทก์ฟ้องเรียกมาก็เป็นเงินลงหุ้นตามสัญญาหุ้นส่วนที่ศาลชั้นต้น ได้มีคำวินิจฉัยแล้วว่า โจทก์และจำเลยได้ร่วมกันลงทุนทำฟาร์มเลี้ยงกบตามส่วนที่ลงหุ้น อันเป็นการวินิจฉัยชี้ชาดในประเด็นแห่งคดีแล้ว เมื่อคดีก่อนมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว การที่โจทก์มารื้อร้องฟ้องจำเลยในคดีนี้อีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัย เหตุอย่างเดียวกัน ฟ้องโจทก์ในคดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้ำต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7573/2549
มูลคดีนี้เกิด จากที่โจทก์ยึดรถคืนมาได้โดยรถไม่อยู่ในสภาพใช้การได้ดี ซึ่งตามคำพิพากษาคดีก่อนให้จำเลยส่งมอบแก่โจทก์ในสภาพดี และราคาที่โจทก์ขายได้ก็ต่ำกว่าราคาที่ศาลกำหนดให้จำเลยใช้แทนอยู่ 370,000 บาท โจทก์จึงฟ้องจำเลยขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ย ดังนี้ ความเสียหายของโจทก์ตามคำฟ้องคดีนี้เกิดขึ้นหลังจากศาลมีคำพิพากษาในคดีก่อน แล้ว คำขอให้บังคับต่างกัน และมิใช่ประเด็นที่ศาลในคดีก่อนได้วินิจฉัยแล้วโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน แต่เป็นมูลหนี้อันใหม่และอาศัยเหตุใหม่ จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5484/2549
การ ที่จะเป็นฟ้องซ้ำตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148 นั้น จะต้องเป็นกรณีที่ศาลได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุดในประเด็นใดโดยอาศัย เหตุอย่างใดแล้ว คู่ความเดียวกันจะรื้อร้องฟ้องกันในประเด็นนั้น โดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันนั้นอีกไม่ได้ แต่สำหรับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ธ.9861/2544 ของศาลชั้นต้นเป็นคดีที่โจทก์ฟ้องขอให้บังคับ พ. ชำระหนี้เงินกู้พร้อมดอกเบี้ยและบังคับจำนองเนื่องจาก พ. ผิดนัดไม่ชำระต้นเงินและดอกเบี้ยแก่โจทก์ จำเลยเป็นเพียงผู้ซื้อทรัพย์จำนองจากการขายทอดตลาดของศาลในคดีแพ่งหมายเลข แดงที่ 11353/2534 ที่ ส. เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของ พ. ขอให้บังคับคดีแก่ทรัพย์จำนองเพื่อนำเงินชำระหนี้แก่ ส. แม้จำเลยจะเป็นผู้ซื้อทรัพย์จำนอง แต่จำเลยก็มิได้เป็นคู่ความในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ธ.9861/2544 ที่โจทก์ฟ้อง พ. ทั้งจำเลยมีสิทธิที่จะไถ่จำนองได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 736 เมื่อจำเลยไม่ไถ่จำนองและโจทก์มีจดหมายบอกกล่าวบังคับจำนองแก่จำเลยตามมาตรา 735 แล้วแต่จำเลยเพิกเฉยถือว่าจำเลยโต้แย้งสิทธิของโจทก์ภายหลังจากโจทก์ฟ้องคดี แพ่งหมายเลขแดงที่ ธ.9861/2544 ของศาลชั้นต้นแล้ว มูลคดีที่โจทก์ฟ้องจำเลยในคดีนี้จึงเป็นคนละอย่างกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ธ.9861/2544 ของศาลชั้นต้น ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2869/2549
คดี ก่อนโจทก์ฟ้อง พ. และนาวาอากาศตรี พ. ให้ชำระหนี้และบังคับจำนองต่อศาลชั้นต้นเป็นคดีหมายเลขแดงที่ 16255/2536 คดีถึงที่สุดแล้วจำเลยเป็นผู้ซื้อทรัพย์สินจากการขายทอดตลาดในคดีหมายเลขแดง ที่ 5957/2537 ที่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของ พ. นำยึดออกขายทอดตลาด ดังนี้ โจทก์ผู้ทรงสิทธิจำนองย่อมมีสิทธิที่จะบังคับเอาแก่ตัวทรัพย์นั้นได้ แต่หาทำให้จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ในฐานะผู้จำนองแต่อย่างใดไม่ ฐานะของจำเลยเป็นเพียงผู้รับโอนทรัพย์สินซึ่งจำนองอันมีสิทธิและหน้าที่ตาม ที่บัญญัติไว้ใน ป.พ.พ. ลักษณะ 12 หมวด 4 มิใช่ว่าโจทก์จะอาศัยความเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีหมายเลขแดงที่ 16255/2536 ของศาลชั้นต้น ติดตามบังคับแก่ทรัพย์สินนั้นได้ทันที จำเลยมิได้เป็นคู่ความในคดีดังกล่าว ทั้งประเด็นแห่งคดีเป็นคนละอย่างกัน กรณีหาใช่เรื่องการสืบสิทธิที่จะถือว่าเป็นเรื่องที่คู่ความเดียวกันรื้อ ร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันไม่ ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีหมายเลขแดงที่ 16255/2536 ของศาลชั้นต้น ไม่เป็นการต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8231/2549
ใน คดีก่อนโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูตามบันทึกข้อตกลงเป็นเงิน 11,000 บาท และจ่ายจากเงินบำนาญครึ่งหนึ่ง หรือให้โจทก์มีชื่อเป็นเจ้าของร่วมกันรับเงินบำเหน็จ เมื่อจำเลยเกษียณอายุราชการแล้ว ต่อมาโจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความไม่เต็มคำขอโดยตกลงว่า จำเลยยินยอมจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูให้แก่โจทก์ 11,000 บาท และโจทก์จำเลยไม่ติดใจว่ากล่าวคดีสืบต่อไป ย่อมหมายความว่าโจทก์พอใจที่จะเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูจากจำเลยเป็นเงิน 11,000 บาท โดยไม่ติดใจที่จะเรียกให้จำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูอีกต่อไป ดังนี้ ที่โจทก์ฟ้องเป็นคดีนี้ขอให้จำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูอีกจึงเป็นฟ้องซ้ำ แม้ในคดีก่อนโจทก์จะเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูโดยอาศัยบันทึกข้อตกลงแต่มูล เหตุของการทำบันทึกข้อตกลงเกิดจากความสัมพันธ์ระหว่างสามีภริยาของโจทก์ จำเลยตามที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 1461 วรรคสอง นั่นเอง แม้ในคดีก่อนโจทก์จะไม่อ้างบันทึกข้อตกลงโจทก์ก็มีสิทธิฟ้องจำเลยเรียกค่า อุปการะเลี้ยงดูได้อยู่แล้ว ประเด็นแห่งคดีนี้กับคดีก่อนจึงเป็นประเด็นและเหตุเดียวกัน คือ การเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูตาม ป.พ.พ. มาตรา 1461 วรรคสอง ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อนตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5364/2547
คดี ก่อนศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สำหรับเหตุหย่าที่ว่าโจทก์จำเลยสมัครใจแยกกันอยู่เกินกว่า 3 ปีนั้น แม้โจทก์จะกล่าวมาในฟ้องและจำเลยให้การปฏิเสธ อันเป็นประเด็นแห่งคดี แต่ในวันชี้สองสถานศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นเกี่ยวกับการหย่าไว้เพียงว่า จำเลยกระทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากันอย่างร้ายแรงอันเป็นเหตุ ให้โจทก์ฟ้องหย่าหรือไม่แต่เพียงประการเดียวเท่านั้น โดยโจทก์จำเลยมิได้โต้แย้งคัดค้านไว้ ถือได้ว่าโจทก์จำเลยต่างสละสิทธิไม่ติดใจในประเด็นเกี่ยวกับเหตุหย่าที่ว่า โจทก์จำเลยแยกกันอยู่อีกต่อไป ฉะนั้นที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยประเด็นดังกล่าว ย่อมเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นเป็นการไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา ฎีกาของจำเลยในส่วนนี้จึงไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ ดังนี้จึงถือไม่ได้ว่าในคดีดังกล่าวได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดในประเด็นของ เหตุหย่าที่ว่าโจทก์จำเลยสมัครใจแยกกันอยู่เกินกว่า 3 ปีหรือไม่ โจทก์จึงนำเอาเหตุหย่าเพราะสมัครใจแยกกันอยู่เกิน 3 ปี มาฟ้องหย่าจำเลยเป็นคดีนี้ได้อีก ฟ้องคดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อนตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7872/2543
คดี เดิมโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ออกจากที่ดินพิพาท โจทก์จึงมีภาระการพิสูจน์ตามข้อกล่าวอ้างว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดิน พิพาท แต่เมื่อศาลชั้นต้นไม่รับบัญชีระบุพยานของโจทก์ โจทก์จึงไม่มีสิทธินำพยานเข้าสืบ อันเป็นเหตุให้ศาลวินิจฉัยประเด็นแห่งคดีว่าคำฟ้องโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานมา สืบให้รับฟังได้ตามที่โจทก์กล่าวอ้าง พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ ถือได้ว่าศาลได้วินิจฉัยในเนื้อหาแห่งคดีที่ได้ฟ้องแล้ว เมื่อคดีถึงที่สุดโจทก์จะนำคดีมาฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2 ใหม่ในประเด็นเดียวกัน จึงเป็นการรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่าง เดียวกัน เป็นฟ้องซ้ำตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1225/2539
โจทก์ คดีก่อนและโจทก์คดีนี้แม้จะเป็นบุคคลคนละคนแต่ต่างก็เป็นทายาทของถ. และต่างก็ฟ้องคดีเรียกคืนที่ดินพิพาทโดยอ้างสิทธิในฐานะทายาทผู้สืบสิทธิจาก ถ. ซึ่งเป็นผู้มีสิทธิในที่ดินพิพาทคนเดียวกันจึงถือได้ว่าโจทก์คดีก่อนและ โจทก์ในคดีนี้เป็นคู่ความเดียวกันและการที่ศาลชั้นต้นได้พิพากษายกฟ้องในคดี ก่อนโดยอ้างเหตุว่าโจทก์ไม่มีพยานมาสืบตามฟ้องถือได้ว่าเป็นการวินิจฉัยชี้ ขาดประเด็นแห่งคดีแล้วฉะนั้นการที่โจทก์ฟ้องคดีนี้โดยมีคำขออย่างเดียวกับ คดีก่อนจึงเป็นการฟ้องคดีที่ให้มีการรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้ วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันฟ้องโจทก์ในคดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้ำต้องห้าม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา148วรรคหนึ่ง
ฟ้องซ้ำ (มาตรา 148)
หลัก   1.   คดีที่มีคำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุดแล้ว   คู่ความจะนำคดีเรื่องที่เคยพิพาทกันมาในคดีก่อนมาฟ้องกันใหม่อีกไม่ได้ (เป็นฟ้องซ้ำ)
      1.1.คำว่า ถึงที่สุด คือ
         1.1.1.เมื่อได้อ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งที่กฎหมายให้ถือว่าเป็นที่สุด
         1.1.2.เมื่อพ้นระยะอุทธรณ์หรือฏีกา หรือขอให้พิจารณาคดีใหม่
      1.2.คำ พิพากษาที่ถึงที่สุด โดยไม่ต้องคำนึงว่าคดีใดยื่นฟ้องก่อนหลัง เพราะหลักของการฟ้องซ้ำ มิได้ถือเวลาที่ยื่นฟ้องเป็นสำคัญ   แต่ถือคดีถึงที่สุดเมื่อใด
   2.   ฟ้องซ้ำต้องเป็นคู่ความเดียวกันจึงจะต้องห้าม
      2.1.คู่ความเดียวกัน     แม้คดีก่อนเป็นโจทก์  แต่คดีใหม่กลับมาเป็นจำเลยก็ถือว่าเป็นคู่ความเดียวกัน
      2.2.คู่ความเดียวกัน รวมถึงผู้สืบสิทธิจากคู่ความเดิม  เช่นสามีภริยา    เจ้าของกรรมสิทธิ์รวม  ผู้รับโอนทรัพย์
      2.3.แม้ เป็นคู่ความเดิมแต่เข้ามาคนละฐานะ   ก็ไม่อยู่ในความหมายของคำว่าคู่ความเดิม  เช่น คดีก่อนฟ้องคดีในฐานะส่วนตัว  คดีใหม่ฟ้องคดีในฐานะผู้แทนโดยชอบธรรม  เช่นนี้ไม่ถือเป็นคู่ความเดียวกัน
   3.   ได้นำคดีมาฟ้องร้องกันใหม่ในประเด็นเดียวกัน ได้อาศัยเหตุอย่างเดียวกันกับคดีก่อน
      3.1.เหตุ อย่างเดียวกัน หมายถึง คำพิพากษา หรือคำสั่งที่ถึงที่สุดนั้นได้วินิจฉัยในเนื้อหาของเรื่องที่ฟ้องร้องกันโดย วินิจฉัยอย่างเดียวกับคดีก่อนที่ศาลได้วินิจฉัยมาและต้องเป็นส่วนของเนื้อหา ด้วย  (หากไม่ใช่ก็ไม่เป็นฟ้องซ้ำ )
      3.2.กรณีศาลได้วินิจฉัยใน ประเด็นแห่งคดี  แต่ไม่ถือเป็นฟ้องซ้ำ เพราะศาลมิได้วินิจฉัยในเนื้อหาแห่งคดีนั้นเอง  ดังนั้นจึงนำคดีมาฟ้องใหม่ได้  เช่นดังนี้.-
         3.2.1.ศาลจำหน่ายคดีเพราะโจทก์ทิ้งฟ้อง ( ฏ.1740/2520 )
         3.2.2.ยกฟ้องเพราะเหตุฟ้องคดีเคลือบคลุม ( ฏ.155/2523 )
         3.2.3.ยกฟ้องเพราะฟ้องโจทก์บกพร่อง ( ฏ.2522/2523 )
         3.2.4.ยกฟ้องเพราะขณะยื่นฟ้องไม่มีอำนาจฟ้อง ( ฏ.666/2530 )
         3.2.5.กรณีโจทก์ถอนฟ้อง ( ฏ.268/2489 )
   4.   ข้อยกเว้นตามกฎหมายที่ไม่ถือว่าเป็นการฟ้องซ้ำ        มีดังนี้.-
      4.1.การบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งศาล
         - กรณีบังคับคดีไม่พอชำระหนี้  เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาขอบังคับเอากับทรัพย์สินอื่นของลูกหนี้อีก
         - กรณีโต้แย้งว่าการบังคับคดีตามคำพิพากษานั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย
      4.2.คำพิพากษาหรือคำสั่งกำหนดวิธีการชั่วคราว ที่จะแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ตามพฤติการณ์
         - การกำหนดวิธีชั่วคราว  คือกำหนดการบังคับคดีเอาไว้ก่อนเป็นการชั่วคราว   เช่น  ค่าอุปการะเลี้ยงดู
      4.3.ศาลพิพากษายกฟ้องโดยไม่ตัดสิทธิที่จะฟ้องใหม่ภายในอายุความ
         -  ได้แก่  ศาลยกฟ้องเพราะผู้ร้องจัดการมรดกยังไม่สามารถจะแบ่งทรัพย์กันๆได้ในชั้นนี้ ศาลชอบที่จะอนุญาตไว้ในคำพิพากษาหรือคำสั่งเดิมว่าไม่ตัดสิทธิที่จะนำคดีมา ฟ้องใหม่
         -  การพิพากษาให้นำคดีมาฟ้องใหม่ได้ตาม ม.148(3)นี้    ไม่ถือเป็นการพิพากษาเกินคำขอ
         -  การกำหนดระยะเวลาให้โจทก์นำคดีมายื่นฟ้องใหม่ ตาม ม.148(3)   มิใช่การย่นหรือขยายระยะเวลา
      -  คดีเดิมมีการฟ้องร้องกันและศาลได้มีคำพิพากษาตามยอมและคดีถึงที่สุดแล้ว  ซึ่งการทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลได้มีคำพิพากษาก็ถือว่าได้มีคำ วินิจฉัยในประเด็นแล้ว   เมื่อนำคดีมาฟ้องใหม่อีก   จึงเป็นฟ้องซ้ำ  แต่เนื่องจากคดีนี้ปรากฏว่าไม่สามารถปฎิบัติตามคำพิพากษาตามยอมได้    ดังนั้นคำพิพากษาตามยอมในคดีเดิมจึงตกไป  เท่ากับยังมิได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุ อย่างเดียวกัน  คดีหลังจึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ (ฏ.124/2546)

คำพิพากษาฎีกาที่ 124/2546
           คดีแรกโจทก์เคยฟ้องจำเลยขอให้บังคับจำเลยไปจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์เป็นผู้ ถือกรรมสิทธิรวมในที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างอันเป็นสินสมรสแล้วทำสัญญาประนี ประนอมยอมความว่าจะนำที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่เป็นสินสมรสไปขายให้แก่ผู้ มีชื่อในราคา 2,000,000 บาท ภายใน 1 เดือนแล้วนำเงินมาแบ่งกัน โดยถือว่าเป็นสินส่วนตัวของแต่ละฝ่าย ศาลพิพากษาตามยอมต่อมาไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความได้ โดยอ้างว่าผู้ซื้อเปลี่ยนใจไม่ซื้อจึงมีการทำข้อตกลงเพื่อจัดการสินสมรสกัน ใหม่ แต่จำเลยไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงเพื่อจัดการสินสมรสใหม่ โจทก์จึงฟ้องจำเลยให้โอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างตามข้อตกลงใหม่เป็นคดีที่ สอง คดีถึงที่สุดโดยศาลฎีกาวินิจฉัยว่าสัญญาประนีประนอมยอมความคดีแรกเป็นสัญญา มีเงื่อนไขไม่สามารถสำเร็จผล อันมีผลให้สัญญาประนีประนอมยอมความตกไปไม่มีผลบังคับส่วนข้อตกลงจัดการสิน สมรสกันใหม่เป็นสัญญาระหว่างสมรส เมื่อคู่สมรสบอกล้างสัญญาระหว่างสมรสจึงเป็นอันสิ้นผล โจทก์จึงมาฟ้องเป็นคดีนี้ขอให้ใส่ชื่อโจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดิน พร้อม สิ่งปลูกสร้างอันเป็นสินสมรสเดียวกับที่ฟ้องคดีแรก ดังนี้ เมื่อสัญญาประนีประนอมยอมความเป็นส่วนหนึ่งของคำพิพากษาตามยอมเช่นนี้ คำพิพากษาตามยอมในคดีแรกเป็นอันตกไปไม่มีผลบังคับเช่นเดียวกับสัญญาประนี ประนอมยอมความ ดังนั้นจึงถือไม่ได้ว่าคดีแรกได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดในประเด็นที่ได้ วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกับคดีนี้ ฟ้องคดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแรกอันจะต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148

      -  คดีแรกศาลได้มีคำวินิจฉัยแล้วว่ารถยนต์คันพิพาทเป็นของผู้ร้องสอด   ดังนั้นผลของคำพิพากษาคดีก่อนย่อมผูกพันจำเลยทั้งสองมิให้โต้เถียง กรรมสิทธิ์ในรถยนต์จึงไม่มีสิทธิจะยึดรถยนต์ไว้  คดีหลังที่โจทก์นำมาฟ้องบังคับให้คืนรถยนต์เป็นการฟ้องเพื่อขอให้บังคับตาม สิทธิของตนเอง ซึ่งเกิดจากคำพิพากษาคดีก่อน  คดีหลังจึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ ( ฏ.1939/2545 , 2658/2545 )

คำพิพากษาฎีกาที่ 1939/2545 (ป)        ในคดีก่อนศาลฎีกาเคยวินิจฉัยว่ารถยนต์พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์คดีนี้ ซึ่งเป็นผู้ร้องสอดในคดีดังกล่าว ให้ยกฟ้องของจำเลยคดีนี้ซึ่งเป็นโจทก์ในคดีนั้น ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า ผลของคำพิพากษาฎีกาดังกล่าวย่อมผูกพันจำเลยในคดีนี้ซึ่งเป็นโจทก์ในคดีดัง กล่าวมิให้โต้เถียงกรรมสิทธิ์ในรถยนต์พิพาทกับโจทก์ในคดีนี้ซึ่งเป็นผู้ร้อง สอดในคดีข้างต้นอีก จำเลยย่อมไม่มีสิทธิจะยึดรถยนต์พิพาทไว้ การที่โจทก์นำคดีมาฟ้องขอให้บังคับจำเลยคืนรถยนต์พิพาทแก่โจทก์ จึงเป็นการฟ้องเพื่อขอให้บังคับตามสิทธิของโจทก์ที่เกิดขึ้นจากผลของคำ พิพากษาฎีกาดังกล่าว โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ได้ ไม่เป็นฟ้องซ้ำ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148

คำพิพากษาฎีกาที่ 7600/2544          คดีก่อน ป. ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระราคาที่ดินที่ค้างชำระ โดยยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่า จำเลยทำสัญญาซื้อขายที่ดินร่วมสัญญาร่วมลงทุนกับ ป. โดยมีข้อสัญญาเอาเปรียบ ป. สัญญาดังกล่าวเป็นนิติกรรมที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของ ประชาชน จึงขอให้บังคับจำเลยชำระราคาที่ดินที่เหลือพร้อมดอกเบี้ย
            โจทก์ฟ้องคดีนี้ในฐานะผู้สืบสันดานและเป็นทายาทโดยธรรมของ ป. โจทก์จึงเป็นผู้สืบสิทธิของ ป. โจทก์ในคดีก่อน ถือว่าโจทก์และจำเลยในคดีนี้เป็นคู่ความเดียวกับคดีก่อน
            การที่โจทก์กลับมาฟ้องคดีนี้โดยอ้างว่า ป. และจำเลยแสดงเจตนาลวงทำสัญญาการซื้อขายที่ดินร่วมสัญญาร่วมลงทุนโดยไม่มี เจตนาที่จะผูกพันกันตามสัญญาจึงเป็นโมฆะ ขอให้เพิกถอนสัญญาการซื้อขายที่ดินร่วมสัญญาร่วมลงทุน แม้จะเป็นการเบียงเบนข้อเท็จจริงที่ ป. ฟ้องคดีก่อน แต่ศาลก็ต้องวินิจฉัยคดีนี้อีกว่า สัญญาการซื้อขายร่วมสัญญาร่วมลงทุนระหว่าง ป. กับจำเลยเป็นโมฆะหรือไม่ ดังนั้น คดีนี้จึงมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกับคดีก่อน ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้ำตามป.วิ.พ. มาตรา 148

      -  ความเสียหายที่โจทก์นำมาฟ้องเป็นคดีหลังนี้เป็นค่าเสียหายที่เกิดขึ้นภาย หลังจากศาลมีคำพิพากษาในคดีก่อนแล้ว   คำขอบังคับจำเลยทั้งสองตามฟ้องของโจทก์คดีนี้จึงต่างกับคำขอให้บังคับจำเลย ทั้งสองของโจทก์ในคดีก่อน  และมิใช่ประเด็นที่ศาลในคดีก่อนวินิจฉัยชี้ขาดแล้วโดยอาศัยเหตุอย่างเดียว กัน  ดังนั้นฟ้องโจทก์ในคดีที่สองจึงไม่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแรก ( ฏ.456/2545 , 1584/2545 , 457/2545 )
ฟ้องซ้อนหมายถึง  คดีเกี่ยวกับมูลดคีเดียวกันได้ยื่นฟ้องต่อศาลไว้แล้วแต่ยังมีคู่ความอีกฝ่ายนำมาฟ้องอีกจึงเป็นฟ้อนซ้อน
ส่วน ฟ้องซ้ำหมายถึง  คดีเรื่องหนึ่งศาลได้มีคำสั่งทางคดีไปแล้วแต่ยังมีคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง นำคดีเดิมมายื่นฟ้องซ้ำอีกจึงเรียกว่าฟ้องซ้ำ



การฟ้องซ้ำ ตามมาตรา 148
1. คู่ความต้องเป็นคู่เดียวกันไม่ว่าจะแสดงบทเป็นโจทก์หรือจำเลยก็ตาม
2. ศาลได้มีการวินิจฉัยคดีชี้ขาดในประเด็นแห่งคดีแล้ว
3. มีคำพิพากษาของศาลถึงที่สุด
4. ประเด็นแห่งคดี หมายถึง ในคำบรรยายฟ้องในท่อนที่ 2 ที่กล่าวถึงสภาพแห่งข้อหาต้องเป็นเรื่องเดียวกัน อย่างเช่นถ้าศาลวินิจฉัยชี้ขาดถึงประเด็นมูลละเมิดแล้ว ห้ามพิจารณาถึงประเด็นนี้อีกในมูลคดีเดียวกัน
5. ห้ามมิให้โจทก์และจำเลยยื่นฟ้องเรื่องเดียวกันต่อศาลเดียวกันหรือต่อศาลอื่นที่มีเขตอำนาจศาลนั้นได้อีก
ข้อยกเว้น
.....ถ้าศาลพิพากษายกฟ้องแล้วแต่ยังให้โอกาสโจทก์ในการกลับมาฟ้อง ก็สามารถกลับไปทำคำฟ้องใหม่ได้

การฟ้องซ้อน ตามมาตรา 173 (2)
1. โจทก์กะจำเลยเป็นคนเดียวกัน
2. ประเด็นแห่งคดีทั้งสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างอันเป็นหลักแห่งข้อหาเดียวกัน
3. กระทำขณะที่คดีความกำลังดำเนินกระบวนพิจารณาอยู่
4. ห้ามโจทก์อย่างเดียว ถ้าเป็นจำเลยฟ้อง อาจจะเข้า มาตรา144 ก็ได้ แล้วแต่กรณีไป

ลำดับการพิจารณานะ